... “สาเหตุที่อเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิม่า:
สกัดโซเวียตรัสเซียบุกญี่ปุ่น, สร้างหนี้ดอลล่าร์ และยึดญี่ปุ่นเอง”
... ในตำราเรียนประวัติศาสตร์เรื่อง “สงครามโลกครั้งที่สอง” นั้น เรามักถูกสอนให้เข้าใจว่า สาเหตุอันชอบธรรมที่ “อเมริกา” ทิ้งระเบิดฆ่าพลเรือนชาวบ้าน ที่ไม่ใช่ฐานทัพทหารของญี่ปุ่นเลย นั้น ก็เพราะว่า “ญี่ปุ่น” ดื้อแพ่ง ไม่ยอมแพ้สงคราม แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปนั้น กลับทำให้พบว่า สาเหตุที่ว่านั้น กลับไม่เป็นจริง แต่มันคือข้อแก้ตัวในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่
... ความจริงแล้วนั้น ญี่ปุ่นพร้อมจะเจรจาสงบศึกตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 1945 ก่อนที่ระเบิดจะถูกหย่อนลงถึงราวหกเดือน ฝ่ายทหารหลายระดับก็บอกว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ระเบิดปรมาณูไปทิ้งใส่ชาวบ้านให้เกิดการตายเลย
... นักประวัติศาสตร์ นักการเมือง นักวิทยาศาสตร์ นักการทหารหลายคนในตอนนั้น ต่างล้วนไม่เห็นด้วยที่จะทิ้งระเบิดปรมาณูฆ่าชาวบ้านเลย แล้วทำไมนายทรูแมนจึงสั่งเครื่องบิน บี 29 ไปทิ้งระเบิด”Little Boy” และ “Fat Man” ไปทิ้งที่ฮิโรชิม่า และ นางาซากิ ตามลำดับในวันที่ 6 และ 9 สิงหาคม 1945 ตามลำดับ
... นายพลไอเซนเฮาว์ ขงเบ้งแห่งอเมริกาก๊ก ผู้ที่เป็นคนออกแบบการสู้รบในสงครามโลกครั้งที่สองของอเมริกา ที่ตอนหลังเป็นประธานาธิบดี ก็ได้บอกว่า “ญี่ปุ่นนั้นพร้อมที่จะยอมแพ้อยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นเลยที่จะโจมตีเขาแบบโหดร้ายแบบนั้น”
... “ผมเชื่อว่าในตอนนั้น ญี่ปุ่นกำลังพร้อมจะหาทางยอมแพ้ เพื่อจะได้เสียหน้าให้น้อยที่สุด”
... General (and later president) Dwight Eisenhower – then Supreme Commander of all Allied Forces, and the officer who created most of America’s WWII military plans for Europe and Japan – said:
The Japanese were ready to surrender and it wasn’t necessary to hit them with that awful thing.
... It was my belief that Japan was, at that very moment, seeking some way to surrender with a minimum loss of ‘face’.
... พลเรือตรีวิลเลี่ยมลีอาห์ นายทหารใหญ่ช่วงนั้นก็ได้กล่าวเอาไว้ว่า “การที่เราทิ้งระเบิดใส่ญี่ปุ่นอย่างโหดร้ายนั้น มันไม่ได้ช่วยอะไรที่เป็นรูปธรรมเลย เพราะว่าตอนนั้นญี่ปุ่นจะยอมแพ้อยู่แล้ว จากการถูกปิดกั้นน่านน้ำทางทะเลที่มีประสิทธิภาพ และ การทิ้งระเบิดธรรมดาที่ได้ผล ( ในโตเกียวและหลายเขต )”
... It is my opinion that the use of this barbarous weapon at Hiroshima and Nagasaki was of no material assistance in our war against Japan. The Japanese were already defeated and ready to surrender because of the effective sea blockade and the successful bombing with conventional weapons.
... นายทหารบางคนพยายามโยนบาปให้กับนักวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะจาก “โครงการแมนฮัตตัน” โดยพลเรือตรีวิลเลี่ยม ฮอลซี่ย์ บอกว่า “นักวิทยาศาตร์ต้องการทดลองของเล่นตัวใหม่ของพวกเขา” แต่ก็ถูก “อัลเบิร์ต ไอสไตน์” ที่เป็นนักวิทยาศาตร์คนสำคัญที่พัฒนาอาวุธนี้ออกมาโต้ว่า “นักวิทยาศาสตร์ล้วนต่อต้านการเอาระเบิดปรมาณูไปใช้เพื่อถล่มญี่ปุ่น การทิ้งระเบิดเป็นเรื่องทางการเมือง และ การทูตมากกว่าด้านการทหารและวิทยาศาสตร์”
... Albert Einstein – an important catalyst for the development of the atom bomb (but not directly connected with the Manhattan Project) – said differently:
“A great majority of scientists were opposed to the sudden employment of the atom bomb.” In Einstein’s judgment, the dropping of the bomb was a political – diplomatic decision rather than a military or scientific decision.
... “สาเหตุที่แท้จริง”
… หลายสิบปีผ่านไป หลายข้อมูล ความเห็นใหม่ๆ ก็ผุดขึ้นมา ที่บอกว่า “อเมริกา” ต้องการที่จะทิ้งระเบิดปรมาณูก็เพราะว่าต้องการ “สกัดโซเวียตรัสเซีย” ที่ตอนนั้นกำลังมีแผนจะมาขยายอิทธิพลมาทางเอเชียตะวันออกและ “กำลังจะบุกทางบกต่อญี่ปุ่น” ศัตรูเก่าที่เคยแพ้ในปี 1904-1905 ,ในวันที่ 8 สิงหาคม 1945”, ทำให้ “อเมริกา” พยายามจะเชือดไก่ให้ลิงดู และขัดขวางติดเบรคโซเวียตรัสเซีย เกรงว่าโซเวียตจะยึดเอาญี่ปุ่นเป็นเขตอิทธิพลของตนในเอเชียตะวันออกที่อเมริกาก็กำลังหมายหัวอยู่เหมือนกัน
... รวมทั้งเพื่อสร้างความยำเกรงในศักยภาพของอาวุธใหม่และร้ายกาจของพวกเขา เพราะในตอนนั้นแม้ว่าทั้งอเมริกา และ โซเวียตรัสเซียจะเป็นฝ่ายพันธมิตรเหมือนกัน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ระหว่างทรูแทนกับสตาลินก็เริ่มย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ดูได้จากการประชุมที่ Potsdam ล่าสุดระหว่างฝ่ายพันธมิตรเมื่อแค่สี่วันก่อนที่จะทิ้งระเบิดลงฮิโรชิม่า
… It has been suggested that the second objective was to demonstrate the new weapon of mass destruction to the Soviet Union. By August 1945, relations between the Soviet Union and the United States had deteriorated badly. The Potsdam Conference between U.S. President Harry S. Truman, Russian leader Joseph Stalin, and Winston Churchill (before being replaced by Clement Attlee) ended just four days before the bombing of Hiroshima. The meeting was marked by recriminations and suspicion between the Americans and Soviets. Russian armies were occupying most of Eastern Europe. Truman and many of his advisers hoped that the U.S. atomic monopoly might offer diplomatic leverage with the Soviets. In this fashion, the dropping of the atomic bomb on Japan can be seen as the first shot of the Cold War.
... “อเมริกา” ต้องการแสดงแสนยานุภาพว่านวัตกรรมทางการสงครามของตนนั้นเหนือกว่าของโซเวียตรัสเซีย และเชือดไก่ให้ลิงดู เพื่อจะหว่านล้อมและดึงดูด ข่มขู่ให้ประเทศที่ยังไม่เลือกข้างหันมาสวามิภักดิ์กับตน
... พวกเขาต้องการใช้การระเบิดปรมาณูใส่ที่ญี่ปุ่นนี้เป็นการเขี่ยลูกของ “สงครามเย็น” อย่างเป็นทางการ และจะตามมาด้วยการเร่งแข่งขันการสะสมอาวุธไปทั่วโลก เป็นจุดเริ่มต้นของการขายอาวุธสงครามไปทั่วโลกของอเมริกา
... และอีกหนึ่งสาเหตุที่นักวิเคราะห์เชื่อ ก็คือ “อเมริกา ต้องการสร้างอิทธิพลทางการเงิน” เพื่อจะเลี้ยงประเทศเหล่านั้นให้เป็นบริวารทางการเงิน เสพติดหนี้สิน เพื่อจะบีบให้เดินตามนโยบายต่างประเทศของตน จึงต้องสร้างการทำลายประเทศเหล่านั้นให้เป็นสมรภูมิสงคราม แต่ญี่ปุ่นตอนนั้นไม่ได้เป็นสมรภูมิ ต้องมีการทำลายให้หนักก่อน เพื่อจะได้กู้เงินมาสร้างฟื้นฟูชาติใหม่ และต้องการควบคุมกระฎุมพีนายธนาคาร คนรวยของญี่ปุ่น เช่นพวกไซบัสซึได้เอามาไว้ใต้อุ้งเท้าของวอลล์สตรีท
... ซึ่งมันก็สอดคล้องกับ “การประกาศเบรต์ตันวู้ด” ในปี 1944 ที่ทั่วโลกพร้อมใจกันรับรองการผูกเงินดอลล่าร์กับทองคำที่ 35.25 ดอลล่าร์ต่อทองคำหนึ่งออนซ์ ยิ่งทั่วโลกถูกทำลายย่อยยับก็ยิ่งต้องกู้เงินพวกเขามาทำการฟื้นฟูประเทศ ในรูปของ “การสร้างหนี้ด้วยเงินดอลล่าร์” เช่นในโครงการ “แผนการมาร์แชลล์” ( คล้ายๆที่ทำกับ อิรัก ในปี 2003 ยิ่งทำลายอิรักเละเทะมาก อิรักก็ยิ่งเอาน้ำมันมาขายแลกกับการฟื้นฟูประเทศ ตามนโยบาย น้ำมันแลกความช่วยเหลือ )
... “ญี่ปุ่น” นั้นเคยกู้ยืมเงินวอลล์สตรีทของอเมริกามาแล้วในการมาสร้างกองทัพเพื่อมาทำสงครามกับรัสเซีย จนญี่ปุ่นเป็นชาติแรกจากตะวันออกที่สามารถรบชนะชาติตะวันตกผิวขาวจมูกโด่งได้ในปี 1904-1905 และตอนหลังสมัยปัจจุบัน อเมริกาก็สามารถดึงนักธุรกิจรายใหญ่ๆของญี่ปุ่นเข้ามาเป็นเครือข่ายของพวกเขา ในนามของกลุ่ม “Trilateral Commission” ที่เป็นการขยายเครือข่ายมากกว่าเดิม จากเดิมแค่ระหว่างนายธนาคารและนักธุรกิจระดับประเทศของ “อเมริกาและยุโรป” หรือที่เรียกว่ากลุ่ม “Bilderberg” ที่จะมีกลุ่ม “CFR” จากอเมริกาคอยวางนโยบายและเขียนแนวทางบทละครให้เล่น
... “ทำไมต้องเป็น ฮิโรชิม่า?”
ชื่อเมือง "ฮิโรชิมะ" นั้น มีความหมายว่า "เกาะที่กว้างใหญ่ไพศาล"
... ยุคจักรวรรดิ คศ 1871–1939 ภายหลัง ระบอบเจ้าขุนมูลนายที่เรียกว่า ฮัง ได้ถูกล้มเลิกลงใน “ยุคเมจิ"
ในปี คศ1871 นครฮิโรชิมะ ได้กลายเป็นเมืองเอกของจังหวัดฮิโรชิมะ ตลอดจนกลายเป็นเมืองศูนย์กลางที่สำคัญใน “ช่วงเวลาที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นเปลี่ยนจากวิถีชนบทเป็นวิถีอุตสาหกรรมในตัวเมือง” ระหว่างทศวรรษที่ 1870
... หนึ่งในเจ็ดของโรงเรียนรัฐบาลภาคภาษาอังกฤษได้ถูกจัดตั้งขึ้นในนครฮิโรชิมะ ในทศวรรษที่ 1880 มีการก่อสร้าง “ท่าเรืออุจินะ”
... “ทางรถไฟ” ได้ขยายมาถึงฮิโรชิมะ ในปี คศ1894 นอกจากนี้ทางรถไฟจากสถานีฮิโรชิมะไปยังท่าเรืออุจินะ ก็ถูกสร้างขึ้นเพื่อการทหารในช่วง ”สงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง” ( 1894 – 1895 ) ในช่วงสงคราม รัฐบาลญี่ปุ่น ต้องย้ายที่ทำการเป็นการชั่วคราวมายังฮิโรชิมะ และจักรพรรดิเมจิ ก็ทรงย้ายมาประทับที่ปราสาทฮิโรชิมะ ตั้งแต่กันยายน 1894 ถึง เมษายน 1895 การเจรจาสงบศึกระหว่างผู้แทนของจีนและญี่ปุ่นครั้งแรก ก็ถูกจัดขึ้นที่ฮิโรชิมะ ในต้นเดือนกุมภาพันธ์ 1895
... “โรงงานอุตสาหกรรมยุคใหม่” อาทิโรงงานฝ้ายถูกจัดตั้งขึ้นในฮิโรชิมะในปลายศตวรรษที่ 19 และยังมีการกำเนิดขึ้นของอุตสาหกรรมมากมายอีกในฮิโรชิมะ ในระหว่าง “สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น” (1904 – 1905 ) ซึ่งญี่ปุ่นจำเป็นต้องพัฒนาและเพิ่มการผลิตยุทธภัณฑ์ เมืองนี้จึงเป็น “ศูนย์กลางส่งเสริมอุตสาหกรรมที่สำคัญแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นในขณะนั้น”
... ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง กองพลทหารราบที่ 2 และ กองทัพภาคชูโงะกุ ได้ตั้งฐานทัพในฮิโรชิมะ ในขณะที่กองทัพเรือก็ตั้งฐานทัพที่ท่าเรืออุจินะเช่นเดียวกัน ในตัวเมืองยังมีแหล่งยุทธปัจจัยมากมาย ถือได้ว่า เป็น “ศูนย์กลางทางการลำเลียงที่สำคัญ”
... “ฮิโรชิม่า จึงเป็นเหมือน หัวใจทางเศรษฐกิจ เมืองท่า อุตสาหกรรม และการทหารของญี่ปุ่น ในขณะนั้น” ถ้าอยากยึดญี่ปุ่นให้เป็นประเทศบริวารหลังสงครามโลกครั้งที่สองให้ได้ ต้องทำลายเมืองนี้ให้ได้ก่อน
... ก่อนทิ้งระเบิดปรมาณูนั้น อเมริกาก็มี “การทิ้งระเบิด” (conventional bomb ระเบิดธรรมดา ที่ไม่ใช่ปรมาณู ) ที่โตเกียวและเมืองอื่น ๆ ของญี่ปุ่นระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ได้ทำลายล้างพื้นที่ไปอย่างกว้างขวางและมีผู้เสียชีวิตหลายหมื่นคน เช่นที่ เมืองโทะยะมะ บ้านเรือนกว่า 128,000 หลังคาเรือนได้ถูกทำลายจนสิ้น และการทิ้งระเบิดที่โตเกียวได้คร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่าหนึ่งแสนคน
... ก่อนหน้านั้น “ระเบิดปรมาณู” นั้น ได้ถูกทดสอบได้ผลมาแล้ว เมื่อ 16 กรกฎาคม ปี 1945 นั้นเอง ที่รัฐนิวเม็กซิโก และตอนนั้นอเมริกาก็พร้อม และตอนนั้นมีการวางแผนว่า ท่าทีญี่ปุ่นนั้นกำลังแย่พร้อมจะหาทางลงแบบไม่ให้เสียหน้าซามุไรแล้ว ทหารบางคนเลยเสนอทางเลือกหนึ่งว่าแค่ทิ้งระเบิดปรมาณูใกล้ๆป่าสนชานเมืองหลวงโตเกียวก็พอ เพราะจะไม่กระทบกับชาวบ้านพลเรือน แต่สุดท้าย ( ไม่รู้ว่านายธนาคารหรือนายทุนคนไหนเข้าฝันชักใย ) นายแฮร์รี่ ทรูแมน ทำให้แกตัดสินใจฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวบ้าน สตรี เด็ก คนหาเช้ากินค่ำ ที่ไม่เกี่ยวกับทหารหรือการรบเลย
... “ระเบิดปรมาณูลงที่ ฮิโรชิม่าและนางาซากิ” นั้นเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่โหดเหี้ยมที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ โดยฝีมือของอเมริกา
... ในเช้าวันที่ 6 สิงหาคม 1945 ระเบิดนิวเคลียร์ ลิตเติลบอย ได้ถูกทิ้งสู่ฮิโรชิมะ โดยเครื่องบินทิ้งระเบิด บี-29 ซึ่งขับโดย พันเอก พอล ทิบเบ็ตส์ การระเบิดได้คร่าชีวิตชาวเมืองไปในทันทีกว่า 80,000 คน และสถิติในสิ้นปีเดียวกันได้บันทึกไว้ว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บและผู้ได้รับผลข้างเคียงจากกัมมันตรังสีกว่า 90,000–140,000 คน จากประชากรของเมืองก่อนการระเบิด อยู่ที่ราว 340,000 คน อาคารบ้านเรือนราว 69% ของเมือง ถูกทำลายลงอย่างราบคาบ ในขณะที่ 7% ได้รับความเสียหายอย่างหนัก
... it’s timely to recall what the United States also did to help win the peace after the war: namely, invest U.S. foreign assistance to help rebuild the war-torn nations of Europe and Japan, and eventually transform them into major U.S. allies and indispensable trading partners.
“Impressing Russia was more important than ending the war in Japan,” says Selden.
.
.
CR.Jeerachart Jongsomchai
... https://www.globalresearch.ca/the-real-reason-ameri…/5308192
https://www.usnews.com/…/the-lessons-from-us-aid-after-worl…
https://th.wikipedia.org/…/%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B…
https://th.wikipedia.org/…/%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B…