ที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ได้มีศึกษาถึงปัจจัยที่ส่งผลให้เชื้อไวรัสโคโรนาระบาดได้เร็วกว่าไวรัสอื่น ๆ โดยนักวิจัยประจำ Scripps Research พบหลักฐานว่า เชื้อไวรัสที่เกิดการกลายพันธ์ D614G มีแนวโน้มติดเชื้อได้ง่ายกว่าไวรัสที่ไม่มีการกลายพันธุ์
อย่างไรก็ตาม ยังไม่พบว่าการกลายพันธ์ D614G จะทำให้อาการป่วยรุนแรงขึ้น ขณะที่งานศึกษาทางด้านวิเคราะห์เชิงสถิติชิ้นล่าสุดของนักวิจัยประจำ Los Alamos National Laboratory พบว่า เชื้อไวรัสที่เกิดการกลายพันธ์ D614G ซึ่งมีการระบาดในหลายประเทศทั่วโลกมีแนวโน้มว่าจะมีความแข็งแรงกว่าเชื้อที่ไม่มีการกลายพันธุ์
ประเด็นดังกล่าวมีความสำคัญต่อการทำความเข้าใจการระบาดในช่วงแรก และใช้ประกอบการประเมินแนวโน้มการระบาดในระยะข้างหน้า หากการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมเพียงเล็กน้อยแล้วสามารถเพิ่มโอกาสในการแพร่ระบาดได้ก็จะช่วยอธิบายว่าเหตุใดการระบาดในบางจุดถึงมีความรุนแรงกว่าอีกที่หนึ่ง ทั้งที่มีความหนาแน่นของประชากรและปัจจัยอื่นที่คล้ายคลึงกัน
อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์บางส่วนยังเห็นว่าการแพร่ระบาดของไวรัสเป็นปัญหาที่ท้าทาย โดยมีความเชื่อมโยงกับพัฒนาการของไวรัสและโครงสร้างประชากรซึ่งมีความซับซ้อน จึงยังต้องทำการศึกษาเพิ่มเติม
ด้านประธานาธิบดี Trump ปรับท่าทีมาสนับสนุนการใส่หน้ากากหลังสมาชิกพรรค Republican หลายท่านเริ่มออกมายอมรับและรณรงค์การใส่หน้ากากกันมากขึ้น ที่ผ่านมา นักการเมืองทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยมและเสรีนิยมต่างหยิบยกเรื่องการใส่หน้ากากมาเป็นประเด็นการเมือง แต่หลังจากที่จำนวนผู้ติดเชื้อปรับเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในรัฐฐานเสียงของ Republican สมาชิกและผู้ว่าการรัฐหลายท่านที่สังกัดพรรค Republican ต่างออกมาสนับสนุนการสวมหน้ากากกันมากขึ้น อาทิ รองประธานาธิบดี Mike Pence ได้เปลี่ยนท่าทีและหันมารณรงค์การใส่หน้ากาก หรือนาย Brian Kemp ผู้ว่าการรัฐ Georgia ที่ออกมารณรงค์การใส่หน้ากากในรัฐ หรือนาย Mitch McConnell วุฒิสมาชิกจากรัฐ Kentucky ที่ออกมากล่าวว่าการใส่หน้ากากไม่ใช่เรื่องเสียหาย ก่อนหน้านี้สมาชิกพรรค Republican หลายท่านได้หลีกเลี่ยงการใส่หน้ากากเนื่องจากประธานาธิบดี Trump ไม่สวมหน้ากากและเปิดให้พิจารณาตามความสมัครใจ
อย่างไรก็ตาม วานนี้ ประธานาธิบดี Trump เริ่มเปลี่ยนท่าทีต่อประเด็นดังกล่าว โดยกล่าวว่าการสวมหน้ากากเป็นเรื่องดี และตนเองจะสวมหน้ากากหากต้องอยู่ใกล้ชิดกับคนจำนวนมาก แต่ยังไม่แน่ใจว่าจำเป็นหรือไม่กับการบังคับให้ทุกคนต้องสวมหน้ากาก สอดคล้องกับคำให้สัมภาษณ์ในเวลาใกล้กันว่า ตนเคยใส่หน้ากากมาเช่นกัน แต่ปกติไม่เห็นว่าจำเป็นเนื่องจากคนที่ทำงานใกล้ชิดทุกคนมีการทดสอบเชื้ออย่างสม่ำเสมอ แต่ถ้าจำเป็นต้องไปสถานที่ที่มีความแออัดและอยู่กันอย่างใกล้ชิดก็จะใส่หน้ากาก นอกจากนี้ ยังแสดงความเห็นว่า ไวรัสจะหายไปได้เอง
ทั้งนี้ จากผลการสำรวจล่าสุดจัดทำโดย New York Times/Siena College พบว่ากว่าร้อยละ 54 ของประชาชนจะใส่หน้ากากหากจำเป็นต้องเข้าใกล้ผู้อื่น และร้อยละ 22 จะใส่หน้ากากเสมอ ขณะที่ร้อยละ 22 ใส่หน้ากากน้อยมากหรือไม่ใส่เลย
Source: BoTSS