ฮ่องกงถือเป็นที่ๆมีเสถียรภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

เมื่อตอนที่อังกฤษ take over ฮ่องกงตอนปลายยุค 1800s มันเป็นเพียงแค่เกาะที่มีแต่หมู่บ้านที่เต็มไปด้วยชาวประมงที่ไร้การศึกษา

แต่ผ่านไปแค่ไม่กี่สิบปี มันกลับกลายเป็นแหล่งที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

นี่ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ฮ่องกงปล่อยอิสระให้กับระบบทุนนิยมเข้าครอบครอง และมันก็ทำออกมาอย่างได้ผลดีซะด้วยซี

มันทำให้เกิดมหาเศรษฐีขึ้นมาได้จำนวนหนึ่งที่ไม่มากนักก็จริง ...แต่มันก็สร้างความรุ่งเรืองโดยรวมไปทั่วทั้งเกาะ

ความรุ่งเรืองที่เป็นไปเพราะระบบทุนนิยมนี้ ทำให้ฮ่องกงกลายเป็นศูนย์กลางการเงินที่สำคัญที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง และในชั่วหลายสิบปีมานี้ มันมีระบบแบ้งกิ้งที่มีทุนที่แข็งแกร่งที่สุด

หนึ่งในเหตุผลสำคัญคือ สกุลเงินฮ่องกงดอลล่าร์ (HKD) ได้มีการผูกติดค่า (peg) กับยูเอสดอลล่าร์ (USD) มาตั้งแต่ 1980s

แต่การ peg ค่าแบบนี้มันก็เหมือนดาบสองคม

ข้อดีที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ เสถียรภาพของเงิน HKD ในตลาดการเงินของโลก..ตราบใดที่ USD ยังคงเป็นสกุลเงินทุนสำรองของโลกอยู่ อัตราแลกเปลี่ยนของ HKD ในตลาดก็มั่นคง

แต่ข้อเสียคือ การผูกติดค่าทำให้ฮ่องกงไม่มีอิสระ ต้องดำเนินนโยบายดอกเบี้ยตามสหรัฐไม่ว่าจะดีหรือไม่ต่อเศรษฐกิจของตน

และมันก็ทำให้เป็นปัญหา ที่ดูเหมือนจะหนักหนาไม่น้อยเลยโดยเฉพาะในปีนี้

สหรัฐกำลังจะยุตินโยบายดอกเบี้ยต่ำสุดๆ ที่ใช้มานับสิบปีโดยอ้างว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ..แต่กับฮ่องกง สถานการณ์ทางเศรษฐกิจไม่เหมือนกัน แต่ฮ่องกงก็อยู่กับอัตราดอกเบี้ยต่ำมานานนับสิบปีเช่นเดียวกัน

ผลกระทบต่อฮ่องกงเกี่ยวกับเรื่องดอกเบี้ยต่ำคือ ฮ่องกงกลายเป็นตลาดบ้านที่มีราคาแพงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก มันทำให้บ้านในลอนดอนถูกไปเลย

ตลาดบ้านในฮ่องกงเป็นตลาดสินเชื่อขนาดใหญ่ ผู้คนสามารถขอสินเชื่อผ่อนบ้านจากธนาคารได้ง่ายๆโดยใช้เงินดาวน์ต่ำมาก

สินเชื่อจำนวนมากก็เหมือนกับที่เราเคยเห็นในสหรัฐเมื่อปี 2008 ..ไม่ต้องดาวน์ ..ดอกเบี้ยต่ำสามปีแรก ..ดอกเบี้ยลอยตัว ฯลฯ ....การพิจารณาสินเชื่อที่หละหลวมสั่นคลอนระบบการเงินทั้งระบบ

เราก็คงจะได้เห็นวิกฤติแบบเดียวกันในฮ่องกงที่เป็นผลของการให้สินเชื่อง่ายๆกับภาคอสังหาฯ

มาวันนี้ อัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นในสหรัฐก็กำลังจะต้องปรับขึ้นเหมือนกันในฮ่องกง

สัญญาจำนองต่างๆจะต้องมีการปรับอัตราดอกเบี้ยกันจนลูกหนี้น่าจะจ่ายไม่ไหว ..เราคงจะได้เห็นการชักดาบหรือชักกระบี่จากลูกหนี้ จนธนาคารต้องกระเทือนไปตามๆกัน

ถ้านี่เป็นแค่ปัญหาเดียวของฮ่องกง ก็คงไม่น่าห่วงเท่าไหร่เพราะพวกแบ้งค์ที่นั่นทุนหนาปึ้ก

แต่ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีนตอนนี้สิ..ที่จะเพิ่มความหวาดเสียวมาให้

เรื่องที่สหรัฐแซงค์ชั่นจีนนี่แหละจะเป็นปัญหา มันจะทำให้จีนต้องเร่งหาเงินดอลล่าร์มาใช้ในการค้าระหว่างประเทศ ..จีนยังคงต้องใช้ดอลล่าร์ในการซื้อน้ำมัน ทองแดง สินค้าโภคภัณท์และอื่นๆจากตลาดโลกอยู่ ...และนั่นหมายถึงต้องมีดอลล่าร์เอาไว้อย่างสม่ำเสมอ

ที่ผ่านๆมา จีนได้ดอลล่าร์จากสหรัฐโดยตรงจากการค้าที่ได้ดุลอยู่มาก ซึ่งเอาไว้ใช้ทดแทนต่อประเทศคู่ค้าที่จีนขาดดุลอยู่

ถ้าแหล่งเงินดอลล่าร์ขาดหายไปเพราะสงครามการค้า จีนก็ต้องการเงินยูเอสดอลล่าร์ซัพพลายจากแหล่งอื่น

แล้วจะไปเอาดอลล่าร์จำนวนมหาศาลจากไหนล่ะ

ฮ่องกงนั่งทับเงินยูเอสดอลล่าร์อยู่ประมาณครึ่งล้านล้าน

ถ้ามันเกิดวิกฤติ จีนก็จะเอาดอลล่าร์พวกนั้นมา และ peg เงิน HKD กับเงินหยวนซะเลย

ผมไม่แน่ใจว่าจะออกมาแนวนี้ แต่ก็เป็นทางที่เป็นไปได้มากที่สุด

ในอดีตผมเคยแนะนำให้ถือ HKD เพราะมันเสี่ยงน้อยที่สุด มันมีความมั่นคงถ้า USD ยังดีอยู่ แต่ถ้า USD มีปัญหา ...HKD ก็ยังสามารถยกเลิกการ peg และลอยตัวได้อย่างมั่นคง

แต่ตอนนี้มีความเสี่ยงอย่างใหม่มาเปลี่ยนสถานการณ์แล้ว

ตอนนี้ผมกำลังแนะให้กองทุนของผมย้ายออกจาก HKD และเข้าถือ 28-day Treasury Bills ที่ยังคงมียีลด์ 2%+

มันยังคงเมคเซนส์ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดกับฮ่องกงดอลล่าร์หรือเปล่า


ติดตามข่าวสารการเงิน เศรษฐกิจรอบโลกได้ที่ คลิ๊ก
เข้ากลุ่มนักเทรดใน Facebook คลื๊ก นี้


 

0 Share