ไม่น่าเชื่อว่าเริ่นเจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งและประธานบริหารบริษัทหัวเหวยจะยอมให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศและสื่อจีนเมื่อวันที่ 15 และ 17 มกราคม ที่ผ่านมา

นับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักสำหรับบุคคลที่ค่อนข้างสันโดษ ไม่ชอบทำตัวโดดเด่น และมักจะหลีกเลี่ยงการออกสื่ออย่างเริ่น ที่มีรายงานว่าเขาปฏิเสธที่จะรับรางวัลอันทรงเกียรติสำหรับการถูกจัดให้เป็นหนึ่งใน 100 บุคคลที่อุทิศตนให้กับการปฏิรูปและการเปิดประเทศของจีนในเวลาสี่ทศวรรษที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม การทำตัวโลว์โปรไฟล์ของเขา ไม่ได้ช่วยให้หัวเหวยรอดพ้นจากการถูกสหรัฐฯ และพันธมิตรผู้ใกล้ที่ชิดตั้งแง่ว่าเป็นผู้บุกรุกด้านเทคโนโลยีโทรคมนาคมแต่อย่างใด รวมถึงการเพิ่มความพยายามต่างๆ ในการทำให้หัวเหวยดูเป็นตัวร้าย

แม้ว่าหัวเหวยจะปฏิเสธข้อกล่าวหาจารกรรมข้อมูลของบรรดาประเทศตะวันตกมาเป็นเวลานาน แต่ก็ยังมีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจับกุมตัวนางเมิ่งหว่านโจว ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน (ซีเอฟโอ) ของหัวเหวย ลูกสาวของเริ่นเจิ้งเฟยในเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา และการแบนเทคโนโลยี 5G ของหัวเหวยในหลายประเทศ ที่ได้สร้างแรงกดดันให้กับผู้ประกอบการวัย 74 ปีรายนี้ให้ต้องออกมาพูดแทนครอบครัวและบริษัทของเขา

ในระหว่างการสัมภาษณ์ที่ไม่ค่อยได้เห็นกันบ่อยนัก เริ่นปฏิเสธความเชื่อมโยงระหว่างการจารกรรมข้อมูลกับบริษัทหัวเหวย โดยอ้างว่าหัวเหวยไม่เคยและจะไม่สอดแนมข้อมูลให้รัฐบาลจีน “ผมไม่มีทางที่จะทำลายผลประโยชน์ของลูกค้า และผมกับบริษัทจะไม่ตอบรับคำขอร้องเช่นนั้น” เขาบอกกับสื่อราวกับกำลังสาบานตนต่อหน้าผู้พิพากษา

นอกจากนี้ เริ่นเจิ้งเฟย ซึ่งในอดีตเคยเป็นเจ้าหน้าที่ในกองทัพปลดแอกประชาชนจีน (PLA) ก็ยังกล่าวปฏิเสธถึง “ความเชื่อมโยงอันใกล้ชิด” ระหว่างความเชื่อทางการเมืองส่วนตัวกับธุรกิจของบริษัท

“หัวเหวยยืนหยัดเคียงข้างลูกค้าอย่างแน่วแน่ สำหรับเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวในโลกไซเบอร์” เริ่นกล่าวพร้อมย้ำว่าการให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยทางไซเบอร์ของผู้ใช้งานนั้น สอดคล้องกับกลยุทธ์ของ บริษัทที่มุ่งเน้นสร้างความน่าเชื่อถือเป็นอันดับต้นๆ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เริ่นได้ออกมาพูดถึงเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์และการปกป้องความเป็นส่วนตัวเพราะเมื่อวันที่ 2 มกราคมที่ผ่านมา หลังจากมีข่าวการจับกุมตัวนางเมิ่งหว่านโจว เริ่นเจิ้งเฟยย้ำเตือนถึงภารกิจของบริษัทกับพนักงานทุกคนในจดหมายของเขาซึงก็คือการ “สร้างผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงที่น่าเชื่อถือ” และหัวเหวยได้กำหนดให้ความปลอดภัยในโลกไซเบอร์เป็นเป้าหมายสูงสุดของบริษัท

เริ่นโชคดีที่เติบโตขึ้นในช่วงเวลาแห่งการปฏิรูปและการเปิดประเทศ รวมถึงการโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ บริษัทของเขากลายมาเป็นหนึ่งในบริษัท อุปกรณ์และบริการด้านโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดในโลก รวมถึงเป็นหนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดของจีน

ในขณะเดียวกันผู้ชายคนนี้ก็เป็นผู้ที่โชคร้าย เพราะ "ทฤษฎีภัยคุกคามจากจีน" ที่เกิดมาพร้อมๆ กับการผงาดขึ้นของจีน และการที่หัวเหวยเป็นบริษัทโทรคมนาคมสัญชาติจีนนี่เอง ที่อาจทำให้บริษัทตกเป็นเป้าหมายของความกังวลเรื่องความปลอดภัย

ในระหว่างการสัมภาษณ์ เริ่นยังคาดการณ์ด้วยว่ารายได้ของหัวเว่ยจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจากมากกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2018 ไปสู่ 1.25 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2019 “หากพวกเขาไม่ต้องการให้หัวเหวยเข้าไปอยู่ตลาดบางแห่ง เราก็สามารถลดขนาดของเราลงหน่อยได้ ตราบใดที่เราสามารถอยู่รอดและเลี้ยงดูพนักงานของเราได้เราก็อยู่ได้” เริ่นกล่าว

อย่างไรก็ตาม บุคคลที่คร่ำหวอดในวงการมานานอย่างเริ่น ต้องทราบดีอยู่แล้วว่าการสัมภาษณ์ของเขาคงไม่สามารถหยุดยั้งปัจจัยภายนอกบริษัทที่อาจจะย่ำแย่ลงลงได้ และไม่มีวิธีใดที่จะแก้ปัญหาได้ดีไปกว่าการทำให้หัวเหวยแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม และการพูดด้วยพละกำลังและข้อเท็จจริงต่อไป

Cr.china xinhua news

0 Share