ก็เป็นไปตามนั้น..ดูเหมือนเราต้องเจอกับ QE อีกแล้ว
หลังจากมีการลดอัตราดอกเบี้ยไปจนเกือบศูนย์เปอร์เซนต์ ตั้งแต่วิกฤติปี 2008 มา ...Federal Reserve ก็เริ่มขึ้นดอกเบี้ยเมื่อปลายปี 2015 ตั้งแต่ 0.25% จนมาถึง 2.5% ในวันนี้
หลังจากครั้งล่าสุดเมื่อเดือนธันวาคม 2018 ประธาน Powell ดูเหมือนจะสู้ยิบตา (hell bent) กับการทำ Quantitative Tightening ต่อไป ..."เราจะยังขึ้นดอกเบี้ยไปอีกเรื่อยๆ"
ตลาดหุ้นก็เลยร่วงไปซะเกือบ 20%
นักลงทุนเข้าสู่โหมด panic.. รอวันโลกแตก ....ครั้งนี้เจ็บหนัก
เดือนล่าสุดที่ผ่านมา Fed ก็เลยปล่อยให้อัตราดอกเบี้ยยังคงเดิมไปก่อน ..Powell หยุดเล่นลิ้นเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยอีก ...เริ่มถอดใจ
ผู้อำนวยการ IMF ก็เห็นด้วย บอกว่า "มันยังมีความเสี่ยงอยู่มาก" ต่อเศรษฐกิจโลก
และเป็นไปตามคาด.. Paul Krugman ก็สนับสนุนนโยบายของ Fed และแสดงความเป็นห่วงถึงเรื่องเศรษฐกิจถดถอย ...แต่ที่น่าห่วงกว่าคือ Fed จะไม่สามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้ต่ำมากพอ
ธนาคารกลางพยายามขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว แต่ตลาดก็รับไม่ได้ ...ตอนนี้ตลาดคาดว่าในปีนี้จะไม่มีการขึ้นอีก และปีหน้าก็จะต้องลดดอกเบี้ยลง
ทั้งธนาคารกลางยุโรปและญี่ปุ่นก็มีกำหนดจะต้องเริ่มนโยบาย tightening และขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ....แต่พอมาถึงวันนี้ ทั้งสองแห่งกำลังคิดจะลดอัตราดอกเบี้ยลงไปมากกว่าอีกในแดนลบ
หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐตกไป 20% ..Fed ก็ยกเท้าออกจากคันเร่ง แต่ผู้คนทั่วไปต้องการอะไรที่มากกว่านั้น.....
ประธาน Fed สาขา St.Louis คิดว่าอัตราปัจจุบัน "ไม่คล่องตัว" เขาคิดว่าน่าจะลดได้ต่ำกว่านี้
Fed สาขา San Francisco ก็เห็นด้วย พวกเขาสวดอ้อนวอนขอให้คำว่า อัตราดอกเบี้ยติดลบปรากฏอยู่ในรายงานของบทวิเคราะห์ด้วยเถอะ ..อ้างว่านี่มันจะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็วกว่าเมื่อหลังปี 2008 อีกด้วย
Albert Edwards นักเศรษฐศาสตร์ของ SocGen (Societe Generale) ของฝรั่งเศส คิดว่าสหรัฐจะได้เห็นดอกเบี้ยติดลบและจะมีเงินเฮลิคอปเตอร์ (การพิมพ์เงินแจกให้ประชาชนตรงๆ) ในช่วงเศรษฐกิจถดถอย
ถ้าได้ยินพวกสาขาธนาคารกลางชื่นชมอัตราดอกเบี้ยติดลบล่ะก็ เตรียมใจไว้เลย ต้องเกิดขึ้นในสหรัฐแน่ๆ
นั่นจะเป็นสัญญานกระทิงของทองคำ ...แล้วเราก็ไม่ใช่เป็นพวกเดียวที่คิดอย่างนั้น
ราคามันขึ้นไปขนาด eight-month high สูงกว่า $1,300 แล้ว
แบ้งค์ชาติต่างๆพากันเข้าซื้อทองคำ ที่จริงแล้วพวกที่ควบคุมปริมาณเงินของโลกนั่นแหละที่กำลังซื้ออย่างรวดเร็วมากนับตั้งแต่สิ้นสงครามโลกครั้งที่สองมา
แถมขณะเดียวกันยังไปลดการซื้อพันธบัตรสหรัฐซะอีก ..การเข้าซื้อ Treasury จากต่างประเทศในช่วงเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมาลดไปถึง 50%
และพวกที่คุมแท่นพิมพ์ ก็เร่งพิมพ์เงินเฟียตออกมาแลกเป็นทองคำ เก็บไว้เป็นทรัพย์สินปลอดภัยแบบที่มันเคยเป็นมา 5,000 ปีแล้ว
ไม่มีใครอยากให้เงินกู้กับรัฐบาลที่ไม่มีปัญญาใช้หนี้คืนได้หรอก
เป็นเหตุผลใหญ่เลยที่ทองคำราคาเป็นกระทิงอยู่อย่างนี้
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ..ยังไม่มีแหล่งทองคำแห่งใหม่ๆของโลกเกิดขึ้นตอนนี้
ราคาทองคำและหุ้นเหมืองทองอยู่นอกกระแสอยู่หลายปี จนบริษัทเหมืองทองตัดงบการสำรวจ ..จากการที่ราคาตกมาถึง 11-year lows ..ต้องประหยัดค่าใช้จ่าย เป็นผลให้ไม่มึการค้นพบแหล่งใหม่เลย ..แล้วเมื่อเกิดดีมานด์ขึ้นมาแบบทันใด ทองคำอาจจะไม่มีเหลือรอให้เก็บแล้ว...
ผู้เล่นรายใหญ่ก็ออกมาส่งสัญญานเตือนเรื่องนี้แล้ว
เดือนนึงมาแล้ว Newmont Mining หนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรมนี้ เข้าไปควบรวมเอา Goldcorp โดยใช้เงินไป $10,000 ล้าน
และเมื่อกันยายนปีที่แล้ว Barrick Gold ก็ซื้อกิจการ Rangold Resouces ไปที่$6,000 ล้าน
ไม่น่าแปลกที่เราอาจได้เห็นดีลแบบนี้ใน sector นี้อีก โดยเฉพาะถ้า Fed ยังลดดอกเบี้ยลงไป ทำให้เงินถูกลงไปอีก
ถ้าอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐจะติดลบ การถือทองคำที่ไม่มีผลตอบแทนก็น่าจะดีกว่าการฝากเงิน
ผู้เล่นรายใหญ่อีกหลายรายใน gold sector เตือนว่าการผลิตทองคำได้ผ่านช่วงพีคไปแล้ว
และเงินก้อนใหญ่บนโลกนี้..จากธนาคารกลางทั้งหลาย ก็กำลังวิ่งเข้าหาทองคำ
ซัพพลายทองคำอันน้อยนิดกำลังจะเผชิญกับดีมานด์มหาศาลเป็นตัน ...ราคาจะเป็นอย่างไร
ในอดีต ทองคำเป็นตัวชี้นำนโยบายของธนาคารกลางมาตลอด
ราคาของมันเพิ่มจากต่ำกว่า $1,200/ออนซ์ ไปถึงเกือบ $1,300 ..ทำให้ Fed กลับหลังหัน เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
แล้วถ้าราคามันจะขึ้นสูงไปกว่านี้อีก ซึ่งเราๆก็หวังกันอยู่ ...มันก็จะหมายความว่า ...นรกกำลังจะแตก
ผู้เขียนขอแนะนำให้เก็บไว้เลยถ้าคุณสามารถทำได้
Cr.Sayan Rujiramora