trump

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯและประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซีย ในวันศุกร์(3พ.ค.) พูดคุยกันทางโทรศัพท์นานกว่า 1 ชั่วโมง

หารือเกี่ยวความเป็นเป็นไปได้ของข้อตกลงนิวเคลียร์ใหม่, การปลดนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ, ยูเครนและสถานการณ์ทางการเมืองในเวเนซุเอลา

"ได้พูดคุยกันยาวและเป็นไปด้วยดีกับประธานาธิบดีปูติน" ทรัมป์เขียนบนทวิตเตอร์ พร้อมเผยว่าพวกเขาหารือกันในประเด็นต่างๆทั้งด้านการค้า, เวเนซุเอลา, ยูเครน, เกาหลีเหนือ, อาวุธนิวเคลียร์และผลการสืบสวนรัสเซียแทรกแซงศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2016 ของอัยการพิเศษโรเบิร์ต มุลเลอร์

ซาราห์ แซนเดอร์ส โฆษกทำเนียบขาวบอกกับผู้สื่อข่าวว่า ทรัมป์ ได้พูดคุยกับ ปูติน เกี่ยวกับความเป็นไปได้ของข้อตกลงนิวเคลียร์พหุภาคีใหม่ระหว่างสหรัฐฯ, รัสเซีย และจีน หรืออาจขยายขอบเขตของสนธิสัญญานิวเคลียร์ยุทธศาสตร์ระหว่างอเมริกากับมอสโกที่มีอยู่ในปัจจุบัน พร้อมระบุว่า "ภาพรวมของการสนทนาออกมาในทางบวก"

ทั้งสองคน ซึ่งเคยพูดคุยกันอย่างไม่เป็นทางการระหว่างร่วมดินเนอร์กับเหล่าผู้นำโลกคนอื่นๆในกรุงบัวโนสไอเอส ประเทศอาร์เจนตินา เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม โดยหนนั้นเป็นการสนทนากันสั้นๆเกี่ยวกับรายงานของมุลเลอร์ ที่สรุปว่า ทรัมป์ ไม่ได้สมคบคิดกับรัสเซียระหว่างการหาเสียงศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี 2016

"การหารือเกี่ยวกับการสืบสวนของมุลเลอร์มีความจำเป็นในบริบทที่ว่ามันสิ้นสุดลงแล้วและไม่มีการสมคบคิด ซึ่งฉันมั่นใจว่าผู้นำทั้งสองทราบมานานแล้ว ก่อนการพูดคุยทางโทรศัพท์ครั้งนี้" แซนเดอร์สกล่าว

ด้วยสหรัฐฯมีความกังวลเกี่ยวกับการปรากฎตัวของทหารรัสเซียในเวเนซุเอลา ในช่วงเวลาที่วอชิงตันต้องการให้ประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร ลงจากอำนาจ ทรัมป์บอกกับปูตินว่า "สหรัฐฯยืนหยัดเคียงข้างประชาชนชาวเวเนซุเอลาและย้ำว่าเขาต้องการนำสิ่งของบรรเทาทุกข์เข้าไปยังประเทศแห่งนี้" แซนเดอร์สระบุ

ในส่วนของเครมลิน เสริมว่า ปูติน ได้บอกกับ ทรัมป์ กลับไปว่าการแทรกแซงใดๆจากภายนอกต่อกิจการภายในของเวเนซุเอลาจะบ่อนทำลายแนวโน้มของความเป็นไปได้ในการหยุดวิกฤตเวเนซุเอลาด้วยวิถีทางทางการเมือง

สนธิสัญญาลดอาวุธนิวเคลียร์ฉบับใหม่ระหว่างสหรัฐฯ - รัสเซีย (New START Treaty)ปี 2011 จะหมดอายุลงในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2021 แต่สามารถขยายออกไปอีก 5 ปีหากทั้งสองฝ่ายยินยอม ทว่าหากทั้งสองฝ่ายไม่อาจบรรลุข้อตกลง พวกกลุ่มสนับสนุนควบคุมอาวุธให้ความเห็นว่ามันจะป็นเรื่องยากกว่าเดิมที่จะประเมินเจตนาที่แท้จริงของแต่ละฝ่าย

สนธิสัญญา New START บังคับให้สหรัฐฯและรัสเซียลดประจำการหัวรบนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ไม่ให้เกิน 1,550 หัวรบ ระดับต่ำสุดในรอบหลายทศวรรษ, จำกัดการส่งมอลระบบขีปนาวุธยิงจากภาคพื้นและเรือดำน้ำ รมถึงระเบิดที่มีศักยภาพนิวเคลียร์

นอกจากนี้แล้วสนธิสัญญายังได้วางระบบข้อกำหนดเกี่ยวกับกระบวนการตรวจสอบและรับรองการลดอาวุธแทนข้อกำหนดฉบับเก่าที่หมดอายุไปเมื่อเดือนธันวาคมปี 2009 ด้วย

อย่างไรก็ตามทรัมป์เรียกสนธิสัญญา New START ว่าเป็นข้อตกลงที่แย่และเป็นข้อตกลงฝ่ายเดียว "พวกเขาหารือกันในข้อตกลงนิวเคลียร์ ทั้งใหม่หรืออาจขยาย และมีความเป็นไปได้ของการพูดคุยกันในเรื่องจีนเช่นเดียวกัน" แซนเดอร์สระบุ

แซนเดอร์เผยต่อว่าทั้งสองผู้นำยังหารือกันในเรื่องยูเครน หลังจากก่อนหน้านี้ ทรัมป์ เคยยกเลิกการประชุมซัมมิตกับปูตินเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว จากกรณีรัสเซียยึดเรือของกองทัพเรือยูเครน 3 ลำ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนและจับกุมลูกเรือ 24 คน ในขณะที่เครมลินระบุว่า ปูติน ได้บอกกับ ทรัมป์ ว่าผู้นำคนใหม่ของยูเครนควรดำเนินมาตรการต่างๆในการคลี่คลายวิกฤตยูเครน

ทรัมป์ยังพูดคุยกับปูติน ในประเด็นความพยายามโน้มน้าวให้เกาหลีเหนือรื้อถอนโครงการอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธ หลังจากทรัมป์พบปะกับ คิม จองอึน ผู้นำเปียงยางไปแล้ว 2 ครั้ง แต่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้

แซนเดอร์สเผยว่า ทรัมป์ พาดพิงหลายครั้งว่า "เป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญที่รัสเซียต้องยกระดับและเดินหน้ากดดันเกาหลีเหนือให้ปลดนิวเคลียร์" ส่วนทางเครมลินระบุว่าทั้งสองผู้นำเน้นย้ำถึงความจำป็นที่ต้องหาทางปลดนิวเคลียร์ในภูมิภาคดังกล่าว

Source: ผู้จัดการออนไลน์
https://www.cnbc.com/…/trump-and-putin-talked-about-mueller…

0 Share