เข้าสู่ภาวะตลาดหมีแล้ว ดูเหมือนว่าตลาดกระทิงจะจบสิ้นลงแล้ว แต่นักลงทุนยังไม่ตระหนัก มอร์แกน สแตนลีย์ กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจอเมริกาแข็งแกร่ง แต่ตลาดกำลังได้กลิ่นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่กำลังลดลงอย่างรุนแรงและกำไรบริษัทลดลง

ไมเคิล วิลสัน นักกลยุทธ์หุ้นของมอร์แกน สแตนลีย์ ได้สงสัยเกี่ยวกับตลาดหุ้นมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว โดยกล่าวว่าในขณะที่ปี 2561 ยังไม่ใช่ปีแห่งการถดถอยอย่างชัดเจน แต่ตลาดกำลังพูดถึงข่าวร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยเสียงอันดัง

ลางร้ายนี้เกิดขึ้นในขณะที่วอลล์สตรีทกำลังต่อสู้กับแรงเทขายอย่างรุนแรงอีกครั้ง ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงเกือบ 400 จุดเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ขณะที่ดัชนีแนสแด็กปรับตัวลง 3% หุ้นอเมซอน เฟซบุ๊ก และเน็ตฟลิกซ์ ปรับตัวลงทั้งหมด ขณะเดียวกัน หุ้นแอปเปิ้ลก็ดิ่งลึกเมื่อมีความกังวลอย่างรุนแรงต่อดีมานด์ที่น่าผิดหวังของไอโฟนรุ่นล่าสุด

แม้ว่าจะเกิดความวุ่นวายในช่วงนี้ แต่ตลาดก็ยังคงคึกคักนานที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกัน ดัชนีเอสแอนด์พี 500 กำลังมีการซื้อขายต่ำกว่าสถิติเมื่อปลายเดือนกันยายนประมาณ 9% และจะต้องลดลงจากระดับสูงสุดตลอดกาล 20% จึงจะมีสถานะเป็นตลาดภาวะหมีอย่างเป็นทางการ

อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบของมอร์แกน สแตนลีย์ ดูเหมือนว่าตลาดภาวะหมีได้เข้ายึดตลาดแล้ว โดยหุ้นในดัชนีเอสแอนด์พี 500 มากกว่า 40% ปรับตัวลงอย่างน้อย 20%

สิ่งหนึ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ ธนาคารกลางสหรัฐกำลังขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่เศรษฐกิจจะสามารถรับได้ ภาคที่มีความอ่อนไหวต่อสินเชื่อในเศรษฐกิจโดยเฉพาะภาครถยนต์และที่อยู่อาศัยได้เริ่มชะลอตัวแล้ว วิลสัน ชี้ว่า เฟดไม่น่าจะให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่นักลงทุนด้วยการยอมหยุดขึ้นดอกเบี้ย

ความจริงแล้วหลังจากที่ได้ปรับตัวลง ตลาดหุ้นไม่ได้ดีดตัวกลับอีกต่อไป ในปี 2561 ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ได้ปรับตัวลงเล็กน้อยโดยเฉลี่ยในวันที่ผลตอบแทนในสัปดาห์ก่อนหน้าเป็นลบ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2545

วิลสันบอกว่าปีที่แรงซื้อเมื่อราคาย่อลง (Buy the Dip) ไม่ทำงานคือปีที่ตลาดเป็นภาวะหมีหรือเริ่มต้นจะเป็นภาวะหมี นอกจากนี้ นักลงทุนได้เทขายหุ้นรายตัวเช่นกันแม้หลังจากที่บริษัทรายงานผลประกอบการดีกว่าที่คาด ซึ่งนั่นไม่ใช่สัญญาณที่ดี

ตามความเห็นของวิลสัน เมื่อมีแรงเทขายเพราะข่าวดี นั่นคือตลาดภาวะหมี

แน่นอนว่าหลายคนในวอลล์สตรีทเชื่อว่า นี่เป็นเพียงการปรับฐานอ่อน ๆ ในขณะที่ตลาดปรับตัวต่อภาวะที่การเติบโตลดลง เศรษฐกิจสหรัฐยังคงแข็งแกร่งกว่าที่อื่น ๆ ในโลกมาก และมีการคาดการณ์ว่ากำไรบริษัทจะโตอย่างแข็งแกร่งในปีหน้า แม้ว่าจะมีอัตราลดลง

โกลด์แมน แซคส์ ก็ยังคงแนะนำให้ลูกค้าซื้อหุ้นสหรัฐแม้เชื่อว่าจีดีพีภายในประเทศจะโตลดลงเหลือ 2.5% ในปี 2562 และโต 1.6% ในปี 2563

รายงานของ เดวิด คอสติน หัวหน้านักกลยุทธ์หุ้นสหรัฐของโกลด์แมน แซคส์ ชี้ว่า ดัชนีเอสแอนด์พี 500 น่าจะปิดท้ายปีนี้ที่ระดับ 2,850 จุด ซึ่งสูงกว่าระดับในปัจจุบันเกือบ 6%

อีริก นูตเซน หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัท นูเบอร์เกอร์ เบอร์แมน ก็ได้เตือนลูกค้าเมื่อวันจันทร์ว่า การปรับฐานของตลาดไม่ค่อยจะกลายเป็นตลาดภาวะหมีโดยสิ้นเชิงหากไม่เกิดภาวะถดถอยภายใน 12 เดือน และความผันผวนในขณะนี้ไม่น่าจะเป็นตลาดภาวะหมีอย่างยั่งยืน

ข่าวดี คือ แม้ว่าตลาดจะเป็นภาวะหมี แต่จะไม่ซ้ำรอยวิกฤติปี 2551-2552 ซึ่งได้ทำให้มูลค่าของดัชนีเอสแอนด์พี 500 หายไปมากกว่าครึ่ง

ความจริงแล้ว วิลสันได้ให้เหตุผลในก่อนหน้านี้ว่า ตลาดจะปรับตัวลงในระยะสั้น (cyclical bearl market) ซึ่งมันจะเกิดขึ้นเมื่อตลาดเป็นขาขึ้นที่กินเวลานาน (secular bull market)

สำหรับวันจันทร์ที่ผ่านมา วิลสัน กล่าวว่า น่าจะมีความเสี่ยงจำกัดต่อการปรับตัวลงของดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพราะว่าการประเมินมูลค่าได้ลดลงแล้วอย่างมีความหมาย และมันยังช่วยกองทุนบริหารความเสี่ยงและนักลงทุนอื่น ๆ ให้คุมความเสี่ยงได้มาก

อย่างไรก็ดี วิลสันเตือนนักลงทุนว่าอย่าเข้าไปติดกับดักการฟื้นตัวชั่วประเดี๋ยวประด๋าวเพราะ “นี่คือตลาดภาวะหมี” และควรจะใช้กลยุทธ์ “ขายเมื่อหุ้นพุ่ง” มากกว่า “ซื้อเมื่อหุ้นดิ่ง”

Source: ข่าวหุ้น


ติดตามข่าวสารการเงิน เศรษฐกิจรอบโลกได้ที่ คลิ๊ก
เข้ากลุ่มนักเทรดใน Facebook คลื๊ก นี้
สนใจเรียนรู้การเป็นTrader กับกูรู คลิ๊ก


 

0 Share