โบรกเกอร์แนะ 5 กลุ่มสินทรัพย์ปลอดภัย แนะลงทุนพยุงพอร์ตมีกำไร ในช่วงเศรษฐกิจโลกผันผวนสูง สินทรัพย์ลงทุนที่ปลอดภัย ในช่วงนี้คือ?
หนึ่งในคำถามที่เหมือนๆ กันทั่วโลก ในช่วงนี้ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณการชะลอตัว อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ความขัดแย้งทางการเมือง ที่เข้ามาเขย่าอารมณ์ของตลาดการลงทุน (Earthquake) ทำให้ตลาดหุ้นผันผวนสูงปรี๊ด
คำตอบคือ สินทรัพย์ที่ปลอดภัย มีเงินปันผล จะเข้ามาพยุงชีพของพอร์ตลงทุนให้เติบโตไปได้
สินทรัพย์ที่ปลอดภัย ต้องมีคุณสมบัติให้ผลตอบแทนดี ชนะเงินเฟ้อ ชนะอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก มีรายได้สม่ำเสมอ และมีโอกาสรับส่วนต่างราคา มีอะไรบ้าง
กูรูหรือผู้เชี่ยวชาญแนะนำ- อสังหาริมทรัพย์ กองทุนอสังหา ริมทรัพย์ และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) หรือรีท
- หุ้นปันผล- ตราสารหนี้ (หุ้นกู้) และพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์)
- ทองคำ- ตราสารการเงินเรียกได้ว่า 5 สินทรัพย์ข้างต้น เป็นสุดยอดสินทรัพย์ หรือเป็นนารีขี่ม้าขาว เข้ามาพยุงพอร์ตลงทุนให้กำไรได้ เป็น เทรนด์ใหญ่ของโลกเลย
อสังหาฯ/รีท จ่าย 6-8%
กสิณ สุธรรมมนัส ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินโนมีนา อดีตผู้จัดการกองทุน ให้เหตุผลว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกอยู่ในจุดพีก (สูงสุด) และส่งสัญญาณการชะลอตัวหรือเข้าสู่ช่วงเริ่มต้นของเศรษฐกิจขาลง
สิ่งที่ต้องทำคือ "ระมัดระวังการลงทุน" ด้วยการหาสินทรัพย์อย่างอื่นที่ให้ผลตอบแทนดีในช่วงเศรษฐกิจขาลง อัตราดอกเบี้ยเริ่มขยับช้าลง นั่นคือ ทองคำ เพราะเฉลี่ย 100 ปี ผลตอบแทนเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 7% แนะนำลงทุนบริเวณ 1,300 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ จากสถิติในวงจรเศรษฐกิจที่ผ่านมาจะพบว่า ทุกครั้งที่ตลาดหุ้นโลกมีการปรับฐานแรงๆ กว่า 20% ทองคำจะให้ผลตอบแทนที่ดีมาก การมีทองคำติดไว้ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวจึงเป็นการบริหารความเสี่ยงได้ดี แนะนำให้มีในพอร์ต 20%
หุ้นกู้ แนะนำที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูงกว่า BBB ขึ้นไป และบอนด์ จะให้ผลตอบแทนชนะอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก อัตราเงินเฟ้อ และความผันผวนต่ำ เพราะเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งในปีนี้ ค่าเงินดอลลาร์จะเริ่มอ่อน แนะนำให้มีในพอร์ต 30%
อสังหาริมทรัพย์ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งในไทยมี 41 กองทุน และทรัสต์เพื่อ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) หรือรีท ในไทยมี 20 กองทุน กองทุนโครงสร้างพื้นฐานมี 6 กองทุน ให้ผลตอบแทนประมาณปีละ 6-8% โดยมีโอกาสได้รับกำไรจากส่วนต่างราคาที่สูงขึ้น นอกเหนือจากชนะเงินเฟ้อ ชนะเงินฝาก แนะนำ ให้มี 20% ของพอร์ตลงทุน อีก 30% เหลือไว้ในหุ้น เพราะปีนี้หุ้นมีความเสี่ยงสูงมาก
แนวทางลงทุนอสังหาฯ
หนึ่ง ซื้ออสังหาริมทรัพย์เป็นชิ้นๆ เช่น ซื้อคอนโดมิเนียมเป็นห้องๆ หรือซื้อบ้านเป็นหลังๆ จะมีโอกาสสร้างรายได้ 2 ทาง คือ นำไปปล่อยให้เช่า ราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นตามกาลเวลา ความเสี่ยง น้ำท่วม ไฟไหม้ ปล่อยเช่าไม่ได้ สภาพคล่องต่ำเพราะขายยาก
สอง ลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ สาม ลงทุนในกองรีท แยกออกเป็นฟรีโฮลด์ ผู้ลงทุนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ถาวรในสินทรัพย์นั้นๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะ อยู่นอกเมือง ไม่ได้อยู่ในย่านธุรกิจ เมื่อครบกำหนดสัญญาการลงทุนก็จะได้ส่วนต่างราคาสินทรัพย์นั้นๆ ด้วย ลีสโฮลด์ ผู้ลงทุนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในสัญญาเช่า ส่วนใหญ่อยู่ในย่านธุรกิจ กำลังซื้อสูง ในกองรีทนี้ยังแยกออกเป็น รีทลงทุนในสำนักงานให้เช่าจะดีเมื่อเศรษฐกิจขยายตัว โรงแรม ห้างสรรพสินค้า จะดีเมื่อจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามามาก และคลังสินค้า
จุดเด่นของการลงทุนใน กองทุน อสังหาริมทรัพย์และรีท
หนึ่ง มีรายได้จากค่าเช่าเข้ามาสม่ำเสมอ ความเสี่ยงอยู่ในระดับกลางๆ ต่างจากเงินปันผลของหุ้นที่ขึ้นอยู่กับผลประกอบการในแต่ละปี
สอง ผลตอบแทนของอสังหาฯ 6-8% ต่อปี
สาม ราคาที่ดินปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง สี่ ความผันผวนต่ำกว่าหุ้นสามัญ สภาพคล่องสูง
ความเสี่ยง น้ำท่วม ไฟไหม้ การปิดกิจการ การต่อเติมผิดแบบ สถานที่
ขณะที่ บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) ได้ทำการจัดอันดับผลตอบแทนของกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ประจำเดือน ม.ค. 2562 ย้อนหลัง 1 ปี 3 ปี 5 ปี และ 7 ปี พบว่ากองทุนที่ลงทุนในรีท และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ให้ผลตอบแทนที่ดีเป็นอันดับต้นๆ
วิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซีไอเอ็มบี พรินซิเพิล มองว่าหุ้นกู้ในปีนี้ยังคงเป็นขาขึ้น เหมาะกับการลงทุนจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยยังเป็นขาขึ้น แต่มีอัตราเร่งที่ช้าลง จึงแนะนำเพิ่มหุ้นกู้ที่มีคุณภาพดีอายุ 3-4 ปี เข้ามาในพอร์ตมากขึ้น เพราะคิดว่าปีนี้จะมีผู้ออกหุ้นกู้เพิ่มมากขึ้น แต่ผู้ซื้อมีเท่าเดิม เป็นโอกาสในการต่อรองได้ดีขึ้น และช่วงหลังส่วนต่างก็ดีขึ้น
เทคนิคลงทุน ต้องคัดสรรหุ้นกู้ที่มีคุณภาพดี และกระจายความเสี่ยงของหุ้นกู้ไม่ให้กระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งมากเกินไป เลือกอายุหุ้นกู้ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด เผื่อวันหนึ่งมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น อัตราดอกเบี้ยขึ้นแรงๆ จะได้ไม่เจ็บตัว
นอกจากนี้ กองรีทจะมีความสัมพันธ์กับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ช้า เงินเริ่มไหลมาลงทุนในกองรีทเพื่อหาปันผล จะเห็นว่ากองรีทในสิงคโปร์มีการฟื้นตัวเร็วมากตั้งแต่ปลายปีถึงต้นปีนี้ รวมถึงกองรีทตลาดโลก บางกองขึ้นมากว่า 10% อสังหาฯ ปีนี้จะได้อานิสงส์จากเฟดขึ้นดอกเบี้ยช้าลง
นอกจากนี้ แนะนำให้ลงทุนทองคำเพิ่มขึ้นเมื่อราคาลงมาอยู่บริเวณ 1,200 ดอลลาร์/ออนซ์
"ปีที่แล้วกองรีทเป็นกลุ่มที่ให้ ผลตอบแทนดีที่สุด คนที่มีตราสารหนี้บ้าง พอคุ้มครองพอร์ตลงทุนได้ ส่วนใครที่เทหุ้นหมดเลย เจ็บตัวหนัก ปี 2562 จึงแนะนำให้กระจายการลงทุนในหลายๆ สินทรัพย์ จะทำให้ผลตอบแทนดี" วิน แนะนำ
หุ้นปันผลทำเงินได้ดี 3-5% +กำไร
ด้าน มณฑล จุนชยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.วรรณ มองว่าในยุคที่ทิศทางเศรษฐกิจโลกและไทยยังไม่แน่นอน เช่น ไม่รู้ว่าการเมืองใครจะเป็นรัฐบาล เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยกี่ครั้ง การเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐจะออกมาเป็นแบบไหน ก็มีโอกาสในการหาผลตอบแทนที่ดีได้ นั่นคือ หุ้นปันผล โดยเฉพาะลงทุนในดัชนี SETHD
ช่วงนี้เป็นจังหวะการลงทุนใน SETHD ที่ดีมาก เพราะตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีการปรับปรุงการคำนวณดัชนี SET High Dividend 30 (SETHD) โดยจำกัดน้ำหนักของหุ้นแต่ละตัวในดัชนีไม่เกิน 10% มีผลตั้งแต่เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา จากเดิมที่หุ้นบางตัวมีน้ำหนักถึง 25% ทำให้เกิดการแกว่งตัวสูงเกือบ 1 ใน 3
ฉะนั้น การลงทุนใน SETHD จึงยังเป็นจังหวะที่ให้ผลตอบแทนที่ดีได้ในช่วงนี้ ทนความแข็งแกร่งของความไม่แน่นอน มีกระแสเงินสด โดยมีหุ้นถึง 15-16 ตัวในดัชนีนี้ ถูกจัดอันดับเป็นหุ้นมั่นคง จ่ายเงินปันผล 2 ครั้ง/ปี และมองไปข้างหน้า 3 ปี ธุรกิจมีโอกาสเติบโตได้ ได้ทั้งเงินปันผล และโอกาสของราคาที่เพิ่มสูงขึ้นในอีก 3 ปี โดยควรจะลงทุนไม่ต่ำกว่า 1 ปี จึงจะได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ในมุมของนักลงทุนเน้นคุณค่า นิเวศน์ เหมวชิรวรากร สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) มองว่าในช่วงนี้ไม่เหมาะกับการเก็งกำไร แม้ SET Index จะลงมากว่า 11% ส่วน SETHD ลงแค่ 4-5% แม้ราคาหุ้นปรับตัวลดลง แต่มีปันผลออกมา 3-5% ถ้าลงทุนใน SETHD ปีที่ผ่านมาแทบไม่ขาดทุนเลยหรือขาดทุนน้อยมาก แต่หุ้นเก็งกำไรซึ่งเป็นหุ้นขนาดเล็กและกลางขาดทุนหนัก แม้ราคาหุ้นจะร่วงลงมาแล้วยังถือว่าแพง เพราะราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (P/E) ยังสูง 40-50 เท่า
ช่วงนี้จึงเหมาะกับการลงทุนในหุ้นปันผลที่ส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ ราคาเริ่มสมเหตุสมผล โดย SETHD มี P/E ประมาณ 10-11% ถือว่าต่ำมาก คุ้มกับการลงทุน เป็นหุ้นขนาดใหญ่ปันผล 4-5% ดีกว่าการฝากเงิน กำไรนิ่งและธุรกิจเติบโตอย่างสม่ำเสมอ เป็นหุ้นที่ นักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ ลงทุน ที่ใช้ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก แม้เศรษฐกิจชะลอตัว ธุรกิจยังเติบโตได้ เพราะส่วนใหญ่ทำธุรกิจที่คนต้องกินต้องใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน และทำมาหากินในประเทศไทยเป็นหลัก การดิสรัปจากเทคโนโลยีทำได้ยาก เพราะการที่เป็นขนาดธุรกิจใหญ่ทำให้สามารถปรับตัวรับมือได้ทัน
ขณะที่ เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรมผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ช่วงนี้เหมาะในการลงทุนหุ้นปันผล เพราะอัตราการ จ่ายเงินปันผลในตลาดหุ้นไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 58% ของกำไร โดยบริษัทจดทะเบียนมีกำไร 1 ล้านล้านบาท จะเป็นเงิน 5.8 แสนล้านบาท โดยกำไร 70% อยู่ในหุ้น SET50 ที่ P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
จากการทำสถิติปี 2549-2561 หุ้นในตลาดหุ้นไทยมีอัตราเงินปันผลเฉลี่ยอยู่ที่ 3.58% ต่อปี บางปีวิ่งขึ้นไป 7% เช่น ช่วงแฮมเบอร์เกอร์ไครซิส เพราะราคาหุ้นลงมาแรง แต่กำไรและปันผลของบริษัทไม่ได้ลดลง ปัจจุบันเงินปันผลก็อยู่ที่ 3.58% ชนะเงินเฟ้อ ชนะอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก จึงเป็นแหล่งที่ปลอดภัยของเงินอีกแห่งหนึ่ง โดยเฉพาะหุ้นใน SET50 ที่จ่ายเงินปันผลเกิน 5% มีมาก
การเลือกหุ้น เลือกบริษัทที่จ่ายเงินปันผลต่อเนื่องมาแล้ว 3-5 ปี แสดงให้เห็นว่าตั้งใจจ่าย นโยบายการจ่ายเงินปันผลแน่นอนไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไม่มีความจำเป็นต้องลงทุนขนาดใหญ่เกินครึ่งหนึ่งของกำไร ไม่มีหนี้มากเกินไป และกำไรสะสมต้องมี 2 เท่าของเงินปันผลที่จ่ายต่อปี เพราะถ้าเกิดเพลี่ยงพล้ำยังสามารถจ่ายปันผลได้
จากสถิติในอดีต ช่วงที่หุ้นให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงๆ คือ ช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย.ของทุกปี โดย SETHD เฉลี่ยอยู่ที่ 9% ถ้าเป็น SET ธรรมดา หรือ SET TRI โดยการนำเงินปันผลรวมเข้าไป จะให้ผลตอบแทนประมาณ 6% ถือว่าดี
เคล็ดไม่ลับ การซื้อหุ้นปันผลให้เลือกช่วงปลายปี เพราะไม่มีการขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้น โดยไม่มีสิทธิได้เงินปันผล และราคาไม่ค่อยดี เป็นช่วงจังหวะในการทยอยซื้อหุ้นเพิ่มถึงต้นปี เพื่อจะให้ได้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงต้นๆ และกลางๆ
บอนด์ไทยจ่ายสูงสุดในอาเซียน 1.59-2.44%
ขณะที่ อริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตราสารหนี้ไทย (Thai BMA) กล่าวว่า อัตราผลตอบแทน (ยิลด์) ที่แท้จริงของบอนด์ไทยสูงสุดในอาเซียน และสูงกว่ายิลด์บอนด์ของสหรัฐอเมริกา จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ต่างประเทศไหลซื้อบอนด์ไทย และเกิดปรากฏการณ์ การถือบอนด์ระยะยาวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ณ สิ้นเดือน ม.ค. 2562 มีเงินลงทุนคงค้างของกลุ่มนี้ 9.75 แสนล้านบาท อายุเฉลี่ยของบอนด์อยู่ที่ 7.9 ปี แยกเป็น 50% อยู่ในบอนด์อายุ เฉลี่ย 5 ปีขึ้นไป อีก 28% อยู่ในบอนด์อายุ 10 ปี รองลงมาเป็น 3-5 ปี
นอกจากนี้ ยิลด์ของหุ้นกู้ที่มีระดับความน่าเชื่อถือ AAA ปรับขึ้นมา 0.55% ถ้า BBB+ ขยับขึ้นมา 0.34% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นตามยิลด์ของบอนด์ และต้นทุนของผู้ออกก็สูงขึ้นเช่นกัน เช่น บอนด์อายุ 5 ปี มีต้นทุนอยู่ที่ 2.16% ขึ้นมา 0.33%
อย่างไรก็ตาม ปัญหาในการลงทุนในตราสารหนี้เอกชนคือ รายย่อยไม่มีสินค้าให้เลือกมาก เพราะบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่ออกตราสารหนี้ออกมาเน้นขายให้กับนักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายใหญ่ และนักลงทุนเฉพาะเจาะจง ทางออกคือ รายย่อยจะต้องลงทุนผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารหนี้ พันธบัตร ส่วนความเสี่ยงคือการผิดนัดชำระหนี้
นักลงทุนคงอุ่นใจขึ้น เพราะใน ช่วงที่เศรษฐกิจขาลง หุ้นผันผวน ความไม่แน่นอนทางการเมือง 5 สินทรัพย์ข้างต้น จะเป็นนารีขี่ม้าขาวเข้ามาช่วย พยุงพอร์ตไม่ให้แกว่งตัวและมีโอกาส ทำกำไรได้อีกด้วย
โดย วารุณี อินวันนา
Source :Posttoday