ธรรมชาติโดยพื้นฐานของมนุษย์ คือการไม่มีอะไรมาก่อนเลย ไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีอาหาร ไม่มีที่อยู่ ....ความพยายามใดก็ตามในการเอาชีวิตรอด นั่นคือการสร้างความมั่งคั่ง (wealth) ในระดับพื้นฐานแล้ว
แรงงานเป็นปัจจัยแรกๆในการสร้าง wealth ..แม้เพียงการใช้มือวักน้ำจากลำธารก็ถือเป็นแรงงาน (labor) ..เป็นการสร้าง wealth คือน้ำเพื่อใช้ดื่ม เพื่อเอาตัวรอด
แต่การสร้าง wealth ก็ต้องการการถือครองทรัพย์ (property) ด้วย ก่อนที่จะได้ดื่มน้ำนั้น เราก็ต้องได้สิทธิ์ (right) ผืนน้ำบริเวณนั้นก่อน ณ ขณะนั้น
นั่นคือเราต้องใช้แรงงานเข้าครอบครองทรัพยากรธรรมชาติ (natural resources) ตรงนั้นมาเป็นกรรมสิทธิ์เสียก่อน นี่เป็นการเพิ่มมาตรฐานการครองชีพ (standard of living) เบื้องต้น จากการอดตายเพราะขาดน้ำ
ในโลกของเศรษฐกิจที่ซับซ้อนกว่านั้น เราไม่จำเป็นต้องลงแรงงานด้วยตนเอง หรือแม้แต่ไม่ต้องครอบครองทรัพย์สินที่ใช้ในการสร้างความมั่งคั่งนั้นๆ
แต่สำหรับในขั้นพื้นฐาน ..เราไม่อาจอยู่รอดได้ถ้าปราศจากการใช้แรงงานและทรัพย์สิน (ไม่ว่าจะเรียกเป็นอื่นว่าอย่างไรก็ตาม)
ลองดูจากตัวอย่างจากยุคหิน เพื่อช่วยให้เข้าใจถึงการพัฒนาของเศรษฐกิจที่เพิ่มความซับซ้อนมากขึ้น
มนุษย์หิน เป็นนายทุนสร้างความมั่งคั่งได้อย่างไร
1--ท่อนไม้ก็เป็นทรัพยากรธรรมชาติ (natural resources) อย่างหนึ่ง
2--มนุษย์หินหยิบท่อนไม้ที่ไม่มีเจ้าของ ยึดเป็นทรัพย์สิน (property) ของตน
3--หลังจากนั้น เขาใช้ทั้งเวลาและพลัง (แรงงาน) ของเขาเหลาท่อนไม้นั้นจนแหลม ท่อนไม้นั้นเพิ่มมูลค่า (value) มากกว่าตอนแรก ..นี่ถือเป็นผลิตภัณท์ (product) แรกจากแรงงานของเขา
4--และเมื่อเขาสามารถฆ่ากระต่ายได้หนึ่งตัว เท่ากับว่าเขาใช้ทรัพย์ของเขา (ไม้แหลมท่อนนั้น) ร่วมกับแรงงาน (การล่า) เพื่อผลิตความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น (ซากกระต่าย) เพื่อใช้เป็นอาหาร
5--ต่อมา เขาล่ากระต่ายได้มากขึ้นเกินกว่าที่จะเป็นอาหาร ..เริ่มเป็นการสะสมทุน (capital)
6--เขาทำการแลกเปลี่ยนซากกระต่าย 5 ตัว กับคันธนูและลูกธนู ที่เป็นผลิตภัณท์จากแรงงานของคนอื่น
7--ถึงตอนนี้ เขาสามารถล่ากระต่ายได้จำนวนที่จะสะสมเป็นทุนได้เพิ่มมากขึ้น
8--เขาทำการแลก (trade) กระต่ายกับธนูมากขึ้น และเริ่มแจกธนูให้กับมนุษย์หินคนอื่นๆ โดยกำหนดเงื่อนไขว่า จะต้องส่งมอบกระต่ายที่ล่าได้จำนวนหนึ่งในสามให้กับเขา ..นี่คือการจ้างงาน (employment) ทีนี้ทั้งหมู่บ้านก็มีซากกระต่ายเต็มไปหมด
9--เนื้อกระต่ายตากแห้งกลายมาเป็นสื่อกลางที่ใช้แลกเปลี่ยน (medium of exchange) ของอื่นๆ ...และกลายเป็นเงินตรา (money) ซึ่งนั่นหมายความว่า ยายฉิมที่เป็นนักเก็บเห็ดไม่ต้องกังวลว่าตัวเองจะต้องเป็นคนขาดโปรตีนอีกต่อไป ทุกคนสามารถทำงานที่ตนถนัด และนำ labor ของตนมา trade เป็นเนื้อกระต่าย (ที่จะไปใช้ trade เป็น product อื่นๆที่ตนขาดอยู่ได้เลย) ทั้งหมู่บ้านจึงมีผลิตภัณท์ต่างๆ ตามที่คนต้องการ
10--นายทุน (capitalist) ย่อยๆชาวยุคหินสามารถใช้เนื้อกระต่ายแห้งมาแลกเปลี่ยนเป็นวัสดุที่ใช้ปลูกกระท่อมได้แล้ว ..เขายังจ้างแรงงานสร้างบ้านได้อีกด้วย จ้างงานให้คนทำแทนให้ (services) ..มนุษย์หินสาวๆก็พร้อมเป็นบริกรเพื่อเนื้อกระต่ายแห้งนั้น (เริ่มอีกหนึ่งอาชีพ...)
11--เมื่อการันตีความอยู่รอดได้แล้ว ผู้คนก็เริ่มโฟกัสไปที่ความสดวกสบายของชีวิต เมื่อมีบ้านได้แล้ว ก็ต้องการการพัฒนาด้านยารักษาโรค ..ที่นอนนุ่มๆ ..พาหนะที่มีลูกล้อก็มีผู้พัฒนาขึ้นมา ....หมู่บ้านนี้เริ่มมีมาตรฐานการครองชีพ (standard of living) ที่ดีขึ้น
12--คนมีเวลามากขึ้นไม่ต้องปากกัดตีนถีบแบบที่ผ่านมา มีผู้ค้นพบว่ากระต่ายสามารถเลี้ยงให้แพร่พันธ์ได้ในกรงหลังบ้านตนเอง ไม่ต้องล่าอีกต่อไป
13--อ้าว แล้ว capitalist นายทุนนักล่านั่นจะทำยังไง ..จะสร้าง wealth ให้กับอุตสาหกรรมการล่าของตนได้ยังไง เขาเริ่มนวัตกรรมใหม่ (innovation) นั่นคือ เลี้ยงหมาป่านักล่าขึ้นมาฝูงหนึ่งเพื่อทำงานแทนกลุ่ม labor เดิมที่ขาดหายไป ผลกลายเป็นว่า capitalist รายอื่นๆก็ชอบในนวัตกรรมนี้ด้วย
14--Fast forward มาถึงปัจจุบัน ในยุคที่มี highest standard of living ..ยุคที่เรายังไม่พอใจ capitalist ผู้ผลิต iPhone ...
จะเห็นได้ว่าทั้งหมดมันพัฒนามาจากนายทุนนักล่ากระต่ายคนนั้นนั่นเองที่เริ่มสะสม wealth
Discussion Questions:
ที่ step 5 นายทุนมนุษย์หินผิดหรือไม่ที่สะสมกระต่ายไว้มากเกินกว่าจะกินได้หมด ..standard of living ของหมู่บ้านจะดีขึ้นหรือไม่ถ้าเขาไม่ทำอย่างนั้น
ที่ step 8 นักล่าคนอื่นๆ จะเก็บซากกระต่ายไว้เองทั้งหมดได้หรือไม่ โดยยึดอุปกรณ์การผลิต (ธนู) ไปเลย ..standard of living ในหมู่บ้านจะเป็นอย่างไรถ้าพวกเขายึดอุปกรณ์เหล่านั้นด้วยกำลัง
ที่ step 10 ถ้าผู้รับจ้างสร้างบ้านจะไม่ส่งมอบบ้านให้กับนายทุนได้หรือไม่ ถึงแม้จะมีการตกลงว่าจะมีการแลกเปลี่ยนแรงงานของตนแล้ว
หรือพวกเขาจะเก็บเนื้อกระต่ายไว้โดยไม่สร้างบ้านให้ ได้หรือไม่
มนุษย์หินทั้งหลายรวมกลุ่มกันแล้วยึดเนื้อกระต่ายแห้งทั้งหมดจากนายทุนได้หรือไม่
เนื้อกระต่ายแห้งในกรณีนี้ ถือเป็นรากฐานของความชั่วร้ายหรือไม่
--ถ้าคุณตอบคำถามทั้งหมดนี้ว่า Yes คุณคือนักสังคมนิยมแล้ว...ยินดีด้วย
ถ้าคุณอยู่ที่นั่นด้วย หมู่บ้านนั้นคงยังต้องปากกัดตีนถีบมาจนถึงปัจจุบันแน่ๆ
CR.Sayan Rujiramora