สถานการณ์เงินเฟ้อขั้นรุนแรง ที่ทุกคนเคยเห็นภาพจาก Venezuela, Zimbabwe หรือ Weimar Republic จะเยือนทั่วโลกในไม่นาน

ด้วยการสร้างพิมพ์เงินเข้าสู่ระบบ ในปริมาณมหาศาลอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติกาล ที่กำลังระบาดไปทั่วโลก ในอัตราความเร็วไม่ต่างไปจาก Covid-19

สหรัฐสัปดาห์ที่แล้ว Federal Reserve Bank เริ่มสร้างพิมพ์เงินเข้าไปในระบบ $6 ล้านล้าน และ สัปดาห์นี้เพิ่มอีก $2.3 ล้านล้าน ภายในปีนี้ อย่างน้อย $8 ล้านล้าน จะได้เพิ่มเข้าไปในระบบ

เพียงก้อนแรก $6 ล้านล้านของ QE Infinity จำนวนมากกว่า QE1 QE2 QE3 ที่มีมาตั้งแต่ปี 2008 ทั้งหมดรวมกันแล้ว โดย ก่อนหน้านี้สหรัฐมีเงินสดหมุนเวียน $1.75 ล้านล้านในระบบ

ท่ามกลางความหายนะของสายการบิน โรงแรม บริษัทน้ำมัน อสังหาริมทรัพย์ ธนาคาร การตกงานอย่างประวัติกาล 16.5 ล้านคนภายใน 3 สัปดาห์ ดัชนีตลาดหุ้นได้ทำสถิติขึ้นมากที่สุดใน 1 สัปดาห์ตั้งแต่ปี 1938

ด้วยเงินก้อนใหญ่จาก Fed ที่ได้เริ่มเข้าไปซื้อหนี้จากธนาคารทั้งหมด ไม่เว้นหนี้เสีย Junk Bond ทุกบริษัทแม้ไม่มีรายได้ จึงมีเงินต่อชีวิต พร้อมการให้เงินคลังซื้อค้ำราคาหุ้นผ่าน Black Rock Corp.

โดย Jerome Powell ปธ Fed ยืนยันจะอุ้มตลาดต่อไป จนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้น

แต่การสร้างเงินเพื่อเลี้ยงบริษัทใหญ่ ๆ พร้อมการขึ้นของหุ้นในลักษณะของ Monitory Inflation ไม่ได้จะทำให้เศรษฐกิจฟื้น ตรงกันข้าม จะทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง Hyperinflation ในที่สุด

ประเทศอื่น ๆ นอกจากประเทศมี่มีหนี้สินต่างประเทศท่วมหัวอย่าง Argentina ที่ได้เพิ่งทำลายสถิติตัวเองโดยการ Default ไม่ชำระหนี้ไปเป็นครั้งที่ 9 ก็กำลังพิมพ์สร้างเงินขึ้นมา ตามกำลังสถาณะ

สหราชอนาจักร Bank of England ได้ขยายจำนวนเงิน QE ที่จะสร้างพิมพ์ไปซื้อตราสารหนี้เป็น $24.7 พันล้าน โดยรัฐบาลเองหมดงบในการรองรับสถานการณ์ไปแล้ว ตอนนี้กำลังใช้เงินที่สร้างพิมพ์ขึ้นมาจาก BOE โดยตรง

จีน ในเดือนมีนาคม People’s Bank of China ได้สร้างพิมพ์เงินเข้าระบบ RMB5.2 ล้านล้าน หรือ $7.32 แสนล้านไปแล้วแบบเงียบๆ

ประเทศไทย BOT ออกมาตรการสร้างพิมพ์เงิน 900,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 5 แสนล้านให้ธนาคารปล่อยกู้ อีก 4 แสนล้านเข้าซื้อตราสารหนี้ ($12.3 พันล้าน - ใหญ่กว่าเพคเกจแรกของอังกฤษ) โดยได้ออกกฏหมายให้สามารถซื้อหนี้ด้อยคุณภาพ Junk Bond ไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่เดือนกุมพาพันธ์

ทุกประเทศ :

1) หากเปรียบเที่ยบจำนวนเงิน ระหว่างเงินที่รัฐชดเชยให้ประชาชน กับเงินที่ธนาคารกลาง สร้างเขึ้นมาเพื่อซื้อตราสารหนี้ ส่วนของการซื้อตราสารหนี้ จะมากกว่าส่วนของประชาชน 10 ถึง 20 เท่า

2) เข้าไปซื้ออุ้มราคาตราสารหนี้ โดยซื้อในราคาสูงเกินจริง ที่หากขายทอดตลาดจะราคาต่ำมาก โดยผู้ได้ประโยชน์หลักคือนายธนาคารที่ถือตราสารหนี้ รองลงมา เจ้าของกิจการยักษ์ใหญ่ที่จะได้กู้เงินเพื่อต่อชีวิต

3) ทุกธนาคารกลาง จะอ้างว่าเป็นมาตรการชั่วคราว แต่ในทางปฏิบัติจริง การสร่างเงินแจก QE ไม่เคยมีการเก็บกลับคืนมาตามที่อ้าง แต่จะตามมาด้วยครั้งที่สอง และสามต่อไป

4) ในที่สุด ผู้ที่จะชดใช้การสร้างพิมพ์เงิน คือประชาชนทุกระดับ ผู้ออมเงินเพื่อใช้ในวัยเกษีณ ถึงผู้รับแรงงานขั้นต่ำ ซึ่งจะชดใช้ด้วยการมีกำลังซื้อลดลง ด้วยค่าเงินที่จะลดลง จากการสร้างพิมพ์ขึ้นมาจำนวนมหาศาล

 

ในวาระแรก เงินเดอลล่าร์ที่ถูกสร้างเข้ามาในระบบจำนวนมหาศาล จะยังไม่ก่อการเฟ้อ โดแม้จำนวนหนึ่งมาถึงประชากรโดยตรง จำนวนมากยังคงจะกระจุกอยู่ข้างบน

ในระยะเวลาก็จะไหลลงมาโดยหากมีเงื่อนไขทำให้เกิดความต้องการใช้เงิน ก็จะถูกนำออกมาใช้ หากผสมผสานกับความไม่เชื่อมั่นในค่าของเงิน ซึ่งย่อมลดลง เร่งความเร็วในการถ่ายเท (Velocity) ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่สามารถควบคุมได้ จะทำให้เกิด Hyperinflation

องค์ประกอบที่กำลังเกิดขึ้น
1) การสร้างพิมพ์เงินจำนวนมหาศาล
2) ความไม่เชื่อมั่นในค่าของเงิน จากการสร้างพิมพ์มหาศาล
3) ภาวะขาดแคลนอาหาร และสิ้นค้าอื่น
อาจทำให้เกิดการเทขายเงินตราอย่างรวดเร็วเพื่อแลกกับสิ่งของ เมื่อไหร่ก็ได้

โดยไม่ว่าจะเร็วมาก หรือ เร็วน้อย เมื่อเดินไปตามเส้นทางนี้ ก็จะต้องเกิด Hyperinflation

ซึ่งจะหยุดก็หยุดไม่ได้ เพราะตลาดทุน ตลาดหุ้น กิจการทั้งหมด จะล่มทันที่

จึงเป็นเพียงแค่การยืดเวลา เพิ่อหายนะที่ใหญ่กว่าในอนาคต

แต่นั่นก็คือสิ่งที่เขาต้องการ

การทำให้ธุรกิจเล็ก ๆ ตายให้หมด ถูกกลืนโดยธนาคารยักษ์ใหญ่ ซึ่งก็คือผู้ที่เป็นเจ้าของ Fed ที่กำลังพิมพ์สร้างเงินตัวจริง ซึ่งก็จะกวาดซื้อกิจการใหญ่ทุกอย่างด้วย

การล่มสลายของเงินสกุลดอลล่าร์ ด้วย Hyperinflation เงินสกุลสำรองของโลก ที่หลายประเทศยังคงใช้ผูกเงินตัวเอง ที่รอบโลกนอกสหรัฐ ถือมากกว่าในสหรัฐเสียอีก ซึ่งพร้อมกับการสร้างพิมพ์เงินขึ้นมาในลักษณะเดียวกัน ย่อมนำสู่ภาวะ Global Hyperinflation ทั่วโลก

โดยเมื่อเกิดภาวะทุกข์ทุรนทุรายนั้นแล้ว ประชากรโลกผู้คนก็จะร้องขอทางออก ทางออกที่มีการเตรียมรอไว้ให้แล้ว ได้แก่ ‘New World Currency’ เงินสกุลดิจิทัลใหม่ ในสังคมไร้เงินสด ที่ทุกอย่างถูกติดตามควบคุมได้หมด ซึ่งในเวลานี้ก็เริ่มออกกฎหมายต่าง ๆ การเตรียมบังคับเข้าระบบดิจิทัล ID เมื่อรับวัคซีนโควิด 19 ไว้แล้ว

สร้างปัญหา

เพื่อให้ยอมรับทางออก ทางออกที่เตรียมไว้ก่อนแล้ว

ภายใต้บัญชาการจาก The City of London

 

สำหรับประเทศเล็ก ๆ อย่างเรา ที่เชื่อมโยงกับระบบการค้าการเงินของโลก

เมื่อถึงเวลา ก็ย่อมไม่พ้นเป็นส่วนหนึ่งของ Global Hyperinflation

แต่สิ่งที่จะช่วยได้ คือความสามารถในการผลิตอาหาร ซึ่งในไม่นานจะเป็นของจริง ไม่ใชเงินตรา Fiat Money

ในช่วงที่ผ่านมา การที่ประเทศไทยผลิตข้าว เกินการบริโภคภายในประเทศเป็นเท่าตัว ได้ก่อปัญหากับราคาข้าวมาตลอด
แต่ในวันข้างหน้า จะเป็นข้อได้เปรียบ สามารถบรรเทาหนักเป็นเบา

โดยหากเตรียมการบริหารให้ถูกต้อง นอกจากจะสามารถเลี้ยงคนในประเทศ ไม่ต้องอกอยากจากความขาดแคลนแล้ว

ยังจะสามารถใช้ส่วนที่เกิน อีกเป็นเท่าตัว แลกเปลี่ยนในสิ่งจำเป็น ในยามที่ระบบเงินตราล้มเหลว

เมื่อระบบการเงินโลกล้มเหลว สิ่งที่จะสำคัญ ที่จะทำให้หนักเป็นเบาผ่านพ้นไปได้ ก็คือการสามารถพึ่งพาตัวเอง ว่าด้วยปัจจัย 4

พร้อมด้วยพลังงาน ซึ่งในไทยเองก็มีบ่อก๊าซน้ำมัน พอที่จะประทังชีวิตกันไปได้หากประหยัด และไม่ยกให้ต่างชาติ

การเร่งผลิต พร้อมการกักสำรอองอาหาร จึงเป็นอะไรที่ควรใส่ใจอย่างยิ่ง ไม่ใช่การพิมพ์เงินอุ้มหนี้เสียที่ธนาคารถืออยู่

ถึงธนาคารกลางจะพิมพ์เงินได้ไม่จำกัด ก็ไม่สามารถจะพิมพ์อาหารมาประทังชีวิตประชากรได้

Cr.รุ่งคุณ กิดดิยาพร

0 Share