กระทรวงการคลังสหรัฐ เปิดเผยรายงานในวานนี้ (12 พ.ค.)ว่า ยอดขาดดุลงบประมาณเดือน เม.ย. สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 7.38 แสนล้านดอลลาร์ เนื่องจากการแพร่ระบาดไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (โควิด)-19 ส่งผลกระทบทั่วประเทศ
การใช้จ่ายของรัฐบาลสหรัฐในเดือน เม.ย. 2563 อยู่ที่ 9.80 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 6.04 แสนล้านดอลลาร์จากเดือน เม.ย. 2562 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากการออกมาตรการช่วยเหลือที่เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ส่วนรายได้รวมของรัฐบาลในเดือน เม.ย.อยู่ที่ 2.42 แสนล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าเดือนเม.ย. 2562 อยู่ถึง 2.94 แสนล้านดอลลาร์ เนื่องจากรัฐบาลได้เลื่อนการเก็บภาษีเงินได้ประชาชนและธุรกิจไปจนถึงเดือนก.ค.
ทั้งนี้ ยอดขาดดุลงบประมาณของปีงบประมาณ 2563 ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2562 นั้น เพิ่มขึ้นแตะระดับ 1.481 ล้านล้านดอลลาร์แล้วจนถึงขณะนี้
ไมเคิล พุกลีส นักเศรษฐศาสตร์ของเวลส์ ฟาร์โก ซีเคียวริตีส์ระบุว่า รายรับจากภาษีที่ลดลงและค่าใช้จ่ายที่พุ่งขึ้นมีแนวโน้มที่จะยังคงส่งผลกระทบต่อแนวโน้มด้านการคลังในระยะใกล้ และยอดขาดดุลงบประมาณที่สูงเป็นประวัติการณ์ในเดือนเม.ย.ส่งสัญญาณว่ารัฐบาลจะเริ่มกู้ยืมเงิน
คณะกรรมการที่รับผิดชอบด้านงบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐ (ซีอาร์เอฟบี) ระบุว่า ยอดรวมการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐจะสูงกว่า 3.8 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้ โดยหนี้สาธารณะจะสูงกว่าขนาดเศรษฐกิจภายในวันที่ 30 ก.ย.ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดปีงบประมาณ 2563
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัปม์เข้ารับตำแหน่งในปี 2560 หนี้ของสหรัฐได้เพิ่มขึ้นจากต่ำกว่า 20 ล้านล้านดอลลาร์ สู่ระดับมากกว่า 24 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว
Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์