HAVARD Kennedy School มีเอกสารเผยแพร่มาตั้งแต่ปี 2013 วิเคราะห์ไว้ว่า น้ำมันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสงครามหลายแห่งทั่วโลก อเมริกาทำสงครามเพราะมีความขัดแย้งที่ขัดผลประโยชน์ของประเทศ 

ปัญหาความขัดแย้งในโลกที่มีเพิ่มขึ้น เพราะใครๆก็ต้องการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และรายได้มหาศาลจากพลังงานเหล่านี้เป็นงบประมาณสำคัญทำให้มีทุนไว้ทำสงคราม

อีรัก ซีเรีย ไนจีเรีย ซูดานใต้ ยูเครน ด้านตะวันออกและทะเลจีนใต้ มีการอ้างอิงปัญหาข้อพิพาทสารพัดอย่าง สาเหตุหลายเรื่องฟังดูแล้วเหมือนไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง เช่น ไร้มนุษยธรรม ละเมิดสิทธิมนุษยชน ปัญหาศาสนา เป็นเจ้าของดินแดนมานานตั้งแต่ในประวัติศาสตร์ ช่วยทำสงครามเพราะมีข้อตกลงร่วมกันเมื่อมีการละเมิดอธิปไตย ฯลฯ 

แต่เมื่อวิเคราะห์ลงลึก มักจะพบว่ามีเรื่องน้ำมันหรือแหล่งพลังงานธรรมชาติเป็นเบื้องหลังของสาเหตุความขัดแย้งที่แท้จริง 

ทำไมประเทศจนๆในทวีปแอฟริกาหรือเอเชียซึ่งอยู่ในดินแดนที่ไม่มีทรัพยากรพลังงานธรรมชาติมากๆจึงไม่ค่อยมีการแทรกแซงจากประเทศใหญ่ๆ เวลามีทหารเผด็จการละเมิดอธิปไตยคนในชาติของตัวเอง หรือสงครามแย่งดินแดนระหว่างกัน ประเทศใหญ่ๆหลายแห่งก็ทำเป็นมองไม่เห็น อาจแค่ประณามกันพอเป็นพิธี มันไม่มีการขัดผลประโยชน์อะไรจนต้องใส่ใจอะไรมากนัก

การอ้างสิทธิของประเทศจีนบนเกาะในทะเลจีนใต้ ที่บอกว่าเป็นดินแดงของจีนมาแต่โบราณ ไม่เป็นที่ยอมรับของประเทศอื่นๆ เวียดนาม-บอร์เนียว-ฟิลิปปินส์ ไปฟ้องศาลที่ไหนตัดสินอย่างไรก็ไม่มีผลอะไร จีนยังคงถือว่าเป็นดินแดนของตัวเอง เพราะต้องการกอบโกยผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นแหล่งพลังงานฟอสซิ่ลอยู่ใต้ท้องทะเล

แต่โลกยุค 4.0 ในปัจจุบัน พลังงานทดแทนหรือพลังงานสะอาดกำลังค่อยๆเข้ามาแทนที่พลังงานฟอสซิ่ลที่สร้างมลพิษทั่วโลก

พลังงานจากโซลาร์และลม ที่สร้างใหม่ในหลายประเทศทั่วโลก มีต้นทุนค่าพลังงานต่ำกว่า ถ่านหิน นิวเคลียร์ ก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน

ผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลกในอาหรับกำลังเลิกเผาน้ำมันมาทำไฟฟ้า แล้วสร้างโรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ จะได้มีน้ำมันเอาไว้ส่งออกไปขายประเทศอื่นๆมากขึ้น 

ประเทศรวยๆที่เป็นเศรษฐีอาหรับกำลังเอาเงินไปลงทุนในภาคธุรกิจอื่น ซึ่งรวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาดด้วย จะได้เป็นแหล่งรายได้ทดแทนรายได้จากน้ำมันที่จะลดน้อยลงในอนาคต

พลังงานสะอาดกำลังมาป่วนโลกพลังงานฟอสซิ่ลและการขนส่ง 

แบตเตอรี่มีราคาต่ำลง ยานยนต์ไฟฟ้ามีการใช้มากขึ้น รถยนต์แห่งอนาคตกำลังเป็นรถไร้คนขับ ผู้คนเป็นเจ้าของรถน้อยลงเพราะใช้บริการรถสาธารณะแบบส่วนตัวหรือขนส่งมวลชนได้สะดวกขึ้น พลังงานโซลาร์มีต้นทุนลดลงอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มจะกลายเป็นแหล่งพลังงานหลักของโลกในอนาคต

Paris Agreement ซึ่งเป็นสัญญาประชาคมจากประเทศต่างๆเกือบทั้งโลก ตกลงร่วมกันแล้วว่าจะช่วยกันลดปัญหามลพิษ ไม่ทำให้โลกร้อนขึ้น 

ตามเป้าหมายของข้อตกลงที่กรุงปารีส หลังปี 2050 จะเลิกใช้พลังงานที่ก่อมลพิษ หลายประเทศมีกฎหมายกำหนดเวลาอย่างเป็นทางการถึงช่วงเวลาที่จะไม่ยอมให้รถใช้น้ำมันออกวิ่งบนถนนอีกต่อไป

ก่อนถึงปี 2050 คงไม่มีโรงงานผลิตรถยนต์แห่งไหนที่ผลิตรถใช้นำมันเพียงอย่างเดียวออกมาแล้วแน่ๆ!!

น้ำมันและพลังงานฟอสซิ่ลทุกรูปแบบ จะหมดความหมายเหมือนไร้ค่าในอนาคต และหมายถึงสงครามแย่งชิงแหล่งพลังงานที่จะหมดไปในอนาคตด้วย...


Cr.ธุรกิจ4.0

Source:https://www.belfercenter.org/…/oil-conflict-and-us-national…

https://www.huffingtonpost.com/…/twenty-first-century-energ…


ttps://www.facebook.com/photo.php?fbid=2114370168596131&set=a.524704064229424&type=3&theater


ติมตามข่าวสารการเงิน เศรษฐกิจรอบโลกได้ที่ คลิ๊ก
เข้ากลุ่มนักเทรดใน Facebook คลื๊ก นี้


 



0 Share