เปิดข้อมูลธุรกิจเดินเรือ ลางร้ายการค้า ส่งออกจีน-สหรัฐฯปีหน้าลดฮวบ: กำแพงภาษีที่สหรัฐ อเมริกาตั้งขึ้นสกัดสินค้านำเข้าจากประเทศจีนรอบแรกมูลค่า 34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
มีผลบังคับใช้ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นคือการระดมนำเข้าสินค้าจีนสู่สหรัฐฯก่อนที่ภาษีจะถูกปรับสูงขึ้น ทำให้ตัวเลขนำเข้าพุ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่หลังจากที่ภาษีปรับขึ้นไปแล้ว ยอดนำเข้าสินค้าที่อยู่ในรายการถูกปรับขึ้นภาษีก็ลดฮวบลง 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 เชื่อว่าปรากฏการณ์จะเป็นลักษณะเดียวกันสำหรับสินค้าอีก 2 กลุ่ม คือ สินค้าจีนที่อยู่ในกลุ่มถูกปรับขึ้นภาษีรอบ 2 มูลค่ารวม 16,000 ล้านดอลลาร์ และรอบ 3 รวม 200,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งผลของการปรับขึ้นภาษีจะมีให้เห็นในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมนี้ตามลำดับ
นอกจากยอดส่งออกสินค้ามายังสหรัฐฯที่คาดว่าจะลดลงเนื่องจากผลของกำแพงภาษีดังกล่าวข้างต้นแล้ว ผลกระทบจากสงครามการค้าที่เห็นเป็นรูปธรรมในส่วนของจีนคือ การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าความ คาดหมายในไตรมาส 3 ที่ ผ่านมา สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่น่าแปลกใจเพราะหลายฝ-ายคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าผลจะออกมาแบบนี้ แต่ในระยะหลายเดือนที่ผ่านมา ผู้ที่อยู่ในแวดวงธุรกิจเดินเรือเห็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนแล้ว เนื่องจาก 90% ของการค้าสินค้าระหว่างประเทศทุกวันนี้ ใช้การขนส่งทางเรือ ดังนั้นการสังเกตข้อมูลการขนส่งสินค้าทางเรือจึงเป็น ดัชนีสำคัญที่บ่งบอกแนวโน้มเศรษฐกิจได้
ลุ้นผลกระทบชัดสิ้นปีนี้
แกรี่ หวัง ผู้ร่วมก่อตั้งและอดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีสแปน (เอสเอสดับ เบิ้ลยู) ซึ่งเป็นผู้ส่งสินค้าทางเรือรายใหญ่ที่สุดในโลก เปิดเผยว่า จากประสบการณ์ที่แล้วมา ในช่วงที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัวแรงครั้งก่อนหน้านี้ ข้อมูลจากการเดินเรือสินค้าส่งสัญญาณเตือนราว 6 เดือนล่วงหน้า มาในครั้งนี้ เมื่อมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนของสหรัฐฯมีผลในเดือนกรกฎาคม (2561) มีสัญญาณบางอย่างแสดงให้เห็นในช่วง หลายสัปดาห์ก่อนที่มาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้ นั่นคือ มีการนาเข้าสินค้าจีนเพิ่มขึ้นมาก โดยระหว่างเดือนเมษายน-มิถุนายน 2561 จำนวนเรือคอนเทนเนอร์บรรทุกสินค้าจากจีนมายังสหรัฐฯเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปี ก่อนหน้า
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาข้อมูลการส่งสินค้าด้วยตู้คอนเทนเนอร์ทางเรือระหว่างสหรัฐฯและจีน (ข้อมูลจากฐานข้อมูลการค้าทางเรือ Seabury Global Ocean Trade Database)โดยเจาะสินค้าเป็นรายตัวจะพบว่า มีการนำเข้าพุ่งสูงหลังประกาศ(ว่าจะขึ้นภาษี) แต่จากนั้นเมื่อมาตรการภาษีมีผลบังคับใช้ การนาเข้าก็ดิ่งวูบลงเช่นกัน ยกตัวอย่าง เหล็กกล้าและอะลูมิเนียม สหรัฐฯประกาศจะขึ้นภาษีเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2561 หลังประกาศยอดนำเข้าจากจีนก็พุ่งขึ้น 21% แต่หลังจากมาตรการมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 23 มีนาคม การนำเข้าก็ลดลง 53% ส่วนสินค้านำเข้าจากจีนชุดแรกมูลค่า 34,000 ล้านดอลลาร์ สหรัฐฯประกาศมาตรการในวันที่ 3 เมษายน 2561 ยอดนำเข้าพุ่งขึ้น 10% แต่หลังมีผลบังคับใช้ในวันที่ 6 กรกฎาคม ยอดนำเข้าก็ลดลง 21%
ลางร้ายการค้าปีหน้า
สำหรับชุดที่ 2 และ 3 ซึ่งมีมูลค่า 16,000 ล้านดอลลาร์ และ 200,000 ล้านดอลลาร์ ตามลำดับนั้น ชุดที่ 2 สหรัฐฯประกาศออกมาเมื่อวันที่ 3 เมษายน ส่งผลให้มีการนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น 8% แต่หลังจากมาตรการมีผลบังคับใช้ (23 สิงหาคม) ยังไม่มีการสรุปผลเป็นตัวเลขออกมา แต่คาดว่ายอดการนำเข้าจะลดลงเช่นกัน ซึ่งจะทราบผลในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ ส่วนสินค้าชุดที่ 3 มูลค่ารวม 200,000 ล้านดอลลาร์ ประกาศเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นระหว่างนั้น 7% แต่เมื่อมาตรการมีผลบังคับใช้ในวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมา คาดว่าการนำเข้าจะลดลงแต่จะรู้ผลอย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคมนี้
สินค้าจีนที่เคยมุ่งหน้ามายังตลาดสหรัฐฯ จำเป็นต้องเปลี่ยนทิศทางไปยังประเทศอื่นๆ อาทิ ญี่ปุ-น เกาหลีใต้ ไต้หวัน เยอรมนี และอิตาลี เป็นต้น นักวิเคราะห์กล่าวว่า เมื่อมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่ารวม 200,000 ล้านดอลลาร์ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ส่งผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรมให้เห็น นั่นก็จะเป็นฐานข้อมูลให้ประเมินสถานการณ์แนวโน้มการค้าในปีหน้า (2562) ได้เป็นอย่างดี "แต่นี่ก็จะเป็น เพียงยอดของภูเขาน้ำแข็งที่โผล่ส่วนเล็กๆ ขึ้นมาให้เราเห็น ผล กระทบจริงสำหรับปี 2562 คือเมื่อมีการขยับขึ้นภาษีเป็น 25% (ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคม)" ไมเคิล ลูเท็น จากหน่วยวิจัยข้อมูลการค้าทางเรือซีเบอรี กรุ๊ป ให้ความเห็น
ฝากความหวังซัมมิทจี20
สถานการณ์การเผชิญหน้าทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มี ขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 และ 2 ของโลกตามลำดับ รวมทั้งผลกระทบที่จะมีต่อ การค้าโลกในภาพรวมนั้น จะ เป็นประเด็นที่หลายฝ่ายจับตาและนำมาหารือกันในการประชุมของกลุ่มจี 20 ที่กำลังจะมีขึ้น ในเดือนพฤศจิกายนศกนี้ที่ ประเทศอาร์เจนตินา มีความพยายามที่จะให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ได้พบปะหารือกันในการประชุมระดับซัมมิทครั้งนี้
แม้คาดหวังได้น้อยว่าสถานการณ์การเผชิญหน้าจะคลี่คลายลงสู่ระดับปกติ แต่อย่างน้อยก็มีความหวังว่า การพบกันของทั้งสองอาจจะทำให้การโต้ตอบกันด้วยมาตรการภาษีมีการประวิงเวลาออกไปบ้าง
โต๊ะข่าวต่างประเทศ
Source: ฐานเศรษฐกิจ
เพิ่มเพื่อนเพื่อติดตามข่าวสารการเงิน เศรษฐกิจรอบโลกได้ที่ คลิ๊ก
เข้ากลุ่มนักเทรดใน Facebook คลื๊ก นี้