มีความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกรุนแรงมากขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา และความกังวลในเรื่องนี้เป็นสาเหตุสำคัญให้ตลาดการเงินทั่วโลกผันผวนอย่างรุนแรง ไม่น่าเชื่อว่าการเติบโตที่เกิดขึ้นพร้อมกันทั่วโลกที่เพิ่งเริ่มขึ้นเมื่อประมาณสองปีก่อน กำลังจะเปลี่ยนทิศทางเป็นขาลงอีกครั้ง

หลักฐานล่าสุดที่ชี้ว่าเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงจริง ๆ คือ องค์การเพื่อการพัฒนาและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (โออีซีดี) ได้ระบุในประมาณการล่าสุดว่า การเติบโตทั่วโลกคาดว่าจะชะลอตัวลงจาก 3.7% ในปีนี้เหลือ 3.5% ในปีหน้า และในปี 2563 จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะโต 3.7% ในปี 2562

สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้โออีซีดีคาดว่าการเติบโตจะชะลอตัวลงคืออัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและความขัดแย้งทางการค้า

ถึงแม้ว่านักเศรษฐศาสตร์ของโออีซีดีไม่ได้คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่ก็ได้ตั้งข้อสังเกตว่า อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นจะทำให้การลงทุนลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเศรษฐกิจกำลังพัฒนาอย่าง บราซิล รัสเซีย ตุรกี และแอฟริกาใต้ จะชะลอตัวลงมากสุด

คำถามในขณะนี้คือ สัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจ จะทำให้ธนาคารกลางที่ดูแลเรื่องนโยบายดอกเบี้ย โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารกลางสหรัฐ จะทบทวนเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ ?

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาแสดงความกังวลเรื่องดอกเบี้ยและโจมตีธนาคารกลางสหรัฐอยู่บ่อยครั้งว่าการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดกระทบต่อการเติบโตที่เกิดจากนโยบายของเขา และล่าสุดเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาทรัมป์ได้กระทุ้งอีกครั้งว่า เฟดควรพิจารณาเปลี่ยนแปลงนโยบาย

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ บอกว่า ถ้าดูจากประวัติศาสตร์ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา มันชี้ว่าธนาคารกลางสหรัฐจะยังคงขึ้นดอกเบี้ยต่อไปแม้ว่าในช่วงนี้จะมีแรงเทขายในตลาดหุ้นอย่างรุนแรงก็ตาม

ผลการวิเคราะห์ใหม่ของโกลด์แมน แซคส์ ชี้ว่า เฟดไม่น่าจะดำเนินนโยบายที่เอื้อเฟื้อมากขึ้นเพียงเพราะว่าหุ้นตกหนัก แต่เฟดต้องเห็นว่าภาวะการเงินของสหรัฐฯ จะทรุดโทรมลงมากกว่านี้จึงจะฟังการเรียกร้องจากทรัมป์และคนอื่น ๆ

เมื่อดูจากช่วงที่หุ้นตกมากทั้งหมดตั้งแต่ปี 2537 เป็นต้นมา ผลการวิเคราะห์ของโกลด์แมน พบว่า เฟดตอบสนองด้วยการดำเนินนโยบายเอื้อเฟื้อก็ต่อเมื่อภาวะการเงินอื่น ๆ เช่น สเปรดสินเชื่อก็ถดถอยลงมากหรือเมื่อการเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ แต่ในขณะนี้สเปรดสินเชื่อได้กว้างขึ้น ซึ่งชี้ว่าบริษัทมีความกดดันในระดับหนึ่งแต่การเติบโตในสหรัฐฯ ยังคงสูงกว่าศักยภาพมาก

โกลด์แมนยังชี้ว่า นับตั้งแต่ปี 2557 ในช่วงที่เกิดแรงเทขายหนัก ๆ ในตลาด เฟดลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่สหรัฐฯ เกิดภาวะถดถอยมากกว่า หรือไม่ก็ลดดอกเบี้ยเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวจากภาวะถดถอยโดยทันที

ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ขึ้นดอกเบี้ยแล้วสามครั้งในปีนี้ และคาดว่าจะขึ้นอีกหนึ่งครั้งก่อนปลายปี และจากการประเมินของโกลด์แมน เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนนี้แน่นอน และจะขึ้นอีก 4 ครั้งในปีหน้า และเฟดเองก็ได้ระบุว่า จะขึ้นอีก 3 ครั้งในปีหน้า

นั่นเท่ากับว่าความเสี่ยงเรื่องดอกเบี้ยไม่น่าจะลดทอนลงไปสักเท่าไหร่ในระยะใกล้นี้

ส่วนเรื่องความขัดแย้งทางการค้า แนวโน้มก็ดูจะยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์สักเท่าไหร่เช่นกัน

หลังจากที่รัฐบาลปักกิ่งและรัฐบาลวอชิงตันเก็บภาษีตอบโต้ ซึ่งการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ได้ไหลเวียนลดลงมาก ขณะเดียวกัน การเจรจา Brexit ที่ชะงักอยู่ระหว่างสหภาพยุโรป (อียู) และอังกฤษ ก็ได้ทำให้เกิดความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลกระทบที่มีต่อการค้าระหว่างอียูและอังกฤษ

โออีซีดีประเมินว่า ความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มมากขึ้น อาจลดการเติบโตของจีดีพีทั่วโลกถึง 0.8% ภายในปี 2563 โดยคาดว่าจีดีพีสหรัฐฯ จะโตเกือบ 3% ในปีนี้ แต่จะโตลดลงมากกว่า 2% เล็กน้อยในปี 2563 ขณะเดียวกันคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงเหลือ 6% ในปี 2563 ต่ำสุดในรอบสามสิบปี ส่วนเศรษฐกิจยุโรปคาดว่าจะโตเพียง 1.6% ในปี 2563

นักลงทุนและผู้นำทั่วโลกกำลังรอดูการประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่บัวโนสไอเรสในปลายสัปดาห์นี้ โดยมีความหวังอย่างลึก ๆ ว่าน่าจะมีความคืบหน้าเกิดขึ้นบ้าง

อย่างไรก็ดี ไม่กี่วันก่อนการประชุม มีพัฒนาการหลายอย่างที่ดูเหมือนว่าจะชี้ไปในทางลบ

สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ได้เปิดเผยรายงานการสอบสวนเกี่ยวกับนโยบายการโอนเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญาของจีนตามมาตรา 301 ใหม่ ซึ่งได้ข้อสรุปว่าจีนไม่ได้เปลี่ยนแปลงการปฏิบัติที่ “ไม่เป็นธรรม” “ไม่มีเหตุผล” และ “บิดเบือนตลาด” พร้อมทั้งระบุว่า จีนไม่ได้ตอบสนองอย่างสร้างสรรค์และไม่สามารถดำเนินการที่มีสาระสำคัญใด ๆ ที่จะแก้ไขความกังวลของสหรัฐฯ ได้ นอกจากนี้ จีนยังได้แสดงอย่างชัดเจนว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงนโยบายเพื่อตอบสนองต่อการสอบสวนของสหรัฐฯ

ต่อมาในช่วงท้าย ๆ สัปดาห์ที่ผ่านมา มีรายงานจากวอลล์สตรีท เจอร์นัล ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพยายามชักจูงบริษัทที่ให้บริการไร้สายและอินเทอร์เน็ตในประเทศพันธมิตร หลีกเลี่ยงอุปกรณ์โทรคมนาคมจากบริษัทหัวเหว่ย เทคโนโลยี เนื่องจากมีความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัยของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และถึงขนาดที่ว่ารัฐบาลวอชิงตันได้พิจารณาเพิ่มความช่วยเหลือทางการเงินให้กับการพัฒนาด้านโทรคมนาคมในประเทศที่หลีกเลี่ยงอุปกรณ์ที่ผลิตจากจีน

การเคลื่อนไหวเหล่านี้ของสหรัฐฯ มองเป็นอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากเป็นความพยายามที่จะสร้างอิทธิพลต่อการเจรจาระหว่างสี และทรัมป์ และนักวิเคราะห์หลายคนบอกว่า จะไม่แปลกใจเลยหากไม่มีความคืบหน้าใด ๆ หลังการประชุม

นักกลยุทธ์ของเจ.พี.มอร์แกน แอสเซ็ต แมเนจเมนต์ ได้ออกมาเตือนให้นักลงทุนเตรียมรับมือกับความขัดแย้งทางการค้าที่จะยืดเยื้อไปอีกนานแล้ว เนื่องจากมองว่าความตึงเครียดทางการค้าจะถดถอยลงในช่วง 6 เดือนข้างหน้า

ในเมื่อทั้งอัตราดอกเบี้ยและความตึงเครียดทางการค้า มีแนวโน้มที่ไม่เอื้อต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสักเท่าไหร่ นักลงทุนก็ต้องทำใจไว้เลยว่า ตลาดหุ้นยังต้องผันผวน และเอาแน่เอานอนไม่ได้ไปอีกพักใหญ่ นอกเสียจากว่าจะมี “เซอร์ไพรส์ในทางบวก” เกิดขึ้นเท่านั้น

Source: กรุงเทพธุรกิจ

ติดตามข่าวสารการเงิน เศรษฐกิจรอบโลกได้ที่ คลิ๊ก
เข้ากลุ่มนักเทรดใน Facebook คลื๊ก นี้
สนใจเรียนรู้การเป็นTrader กับกูรู คลิ๊ก


0 Share