... “ทรัมป์ ไม่พอใจเฟดขึ้นดอกเบี้ยที่ขวางการสร้างงาน คืออีกรอยร้าวของเขากับนายธนาคาร Deep State”

... เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2018 ที่ผ่านมา ที่เฟดหรือธนาคารกลางของอเมริกา ที่มีเอกชนเป็นเจ้าของและกำหนดนโยบายนั้น ได้ขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่สามของปีแล้ว ซึ่งทำให้ “ทรัมป์” ไม่พอใจอย่างมาก

... โดยเฟดอ้างว่า เศรษฐกิจของ “อเมริกา” นั้นเริ่มดีขึ้น อัตราการว่างก็ต่ำลง และหลังจากนั้นแค่ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น “ทรัมป์” ซึ่งเป็นผู้นำของรัฐบาลก็ออกมาวิจารณ์เฟดว่าเขาไม่พอใจในการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในครั้งนี้ ที่เป็นการทำให้เห็นรอยร้าวระหว่างทรัมป์กับพวกนายธนาคาร Deep State ที่หลายอย่างทรัมป์ควบคุมคนกลุ่มนี้ไม่ได้เลย เฟดเหมือนเป็นเอกเทศที่รัฐบาลไม่สามารถสั่งการให้มีนโยบายไปในแนวทางเดียวกันได้

... “ผมไม่ชอบใจที่เฟดขึ้นดอกเบี้ย ผมอยากจะจ่ายหนี้สินหรือเพื่อจะทำสิ่งอื่น เช่น สร้างงานในประเทศมากขึ้น ผมจึงกังวลในสิ่งที่พวกเขาขึ้นดอกเบี้ย เราสามารถทำได้หลายอย่างด้วยเงิน ... พวกเขาขึ้นดอกเบี้ยก็เพราะว่า พวกเรา(รัฐบาล) กำลังทำงานไปด้วยดี”

... ทรัมป์บอกว่าแม้เขาจะไม่พอใจที่เฟดขึ้นดอกเบี้ย แต่ก็ดีใจที่ประชาชนจะได้ดอกเบี้ยเงินฝากมากขึ้น

... เฟดนั้นได้ขึ้นดอกเบี้ยมาสามปีต่อเนื่องแล้ว หลังจากปล่อยให้ดอกเบี้ยต่ำเรี่ยศูนย์มากนาน เพื่อจะกระตุ้นปล่อยนาวาแห่งเงินเข้าระบบให้มากขึ้นในเศรษฐกิจในช่วง QE หลังจากวิกฤติเศรษฐกิจปี 2008

... ที่ทรัมป์บ่นก็เพราะว่า ปรกติการขึ้นดอกเบี้ยก็เปรียบเสมือนการปิดประตูน้ำของเขื่อน ทำให้น้ำแห่งเงินไหลไปสู่ทุ่งนาแห่งเศรษฐกิจน้อย ดังนั้นเมื่อดอกเบี้ยแพงขึ้น นักธุรกิจต่างก็ไม่กล้ากู้ดอกเบี้ยแพงมาลงทุนสร้างโรงงานหรือพัฒนาผลิตภัณท์ใหม่ๆ โดยเฉพาะพวกธุรกิจสตาร์ทอัพ เมื่อไม่มีการลงทุน การว่างงานในประเทศก็จะน้อยลง ที่สวนทางกับที่ทรัมป์ได้ประกาศว่าจะเอาตำแหน่งงานจากต่างประเทศกลับมาที่อเมริกาอีกครั้ง ให้คนอเมริกันมีงานทำ ที่ทรัมป์อุตส่าห์เอาใจบริษัทขนาดใหญ่ ถึงกับลดภาษีเงินได้ของบริษัทเหล่านั้น ที่เหมือนลดค่าใช้จ่ายหรือได้กำไรมากขึ้น แล้วเอาเงินส่วนเกินนี้ไปลงทุนสร้างงานมากขึ้น เช่น แอปเปิ้ลเป็นต้น ที่ตกลงจะดึงงานกลับมาที่อเมริกาเอาใจทรัมป์ และเมื่อการผลิตสินค้าในประเทศน้อยลง การจ้างงานก็น้อยลง ดอกเลี้ยเงินกู้แพงต้นทุนการผลิตก็สูงมากขึ้น ราคาสินค้าก็แพงมากขึ้น ความสามารถในการแข่งขันกับสินค้าต่างประเทศก็ต่ำลง เมื่อคนสร้างสินค้าน้อยลงมูลค่าจีดีพีก็น้อยลง การเก็บภาษีเข้ารัฐก็ทำได้น้อยลง รัฐบาลของทรัมป์ก็ต้องหาทางกู้เงินสร้างหนี้ ขยายเพดานหนี้มากขึ้นไปอีก เขาจึงไม่พอใจมาก

... การที่เฟดขึ้นดอกเบี้ยแพงขึ้น นักลงทุนก็ไม่กล้ากู้เงินไปลงทุนซื้อหุ้น หรือซื้อตลาดอนุพันธ์ ซึ่งเฟดเองก็เกรงว่าเงินมากจะร้อนแรงและทำให้ฟองสบู่แตกได้ ทำให้นักลงทุนอาจจะเอาเงินไปลงทุนฝากเอาดอกเบี้ยสูงดีกว่าไปลงทุน

... ทรัมป์เคยบอกนักข่าว CNBCในเดือนกรกฎาคม และ รอยเตอร์ในเดือนสิงหาคม ว่า “การที่เฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกนั้น เป็นบ่อนทำลายความสามารถในการแข่งขันของชาติ” ทรัมป์ที่เป็นคนแต่งตั้งJerome Powell เอง แต่เขาก็ไม่ตื่นตกใจใดๆ ที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากประธานเฟดคนใหม่

... โดยธรรมเนียมนั้นประธานเฟดมีอิสระในการออกแบบนโยบายทางการเงินที่ต้องมีอิสระในการตัดสินใจโดยตัวเองไม่เอาปัจจัยทางการเมืองมากดดัน และประธานาธิบดีเองก็พยายามหลีกเลี่ยงในการวิพากษ์วิจารณ์ผู้นำ และนโยบายของเฟดด้วยเช่นกัน แต่ว่าครั้งนี้ทรัมป์รั้งไม่อยู่อดตำหนิเฟดที่ขึ้นดอกเบี้ยอีกไม่ได้

... ตั้งแต่ “ทรัมป์” ขึ้นมารับตำแหน่งเกือบสองปี เฟดได้ขึ้นดอกเบี้ยมาแล้ว 6 ครั้ง ปีนี้สามครั้ง และหลังจากที่ทรัมป์ได้ออกความเห็นเรื่องไม่พอใจเฟด นาย Jerome Powell ก็ออกมาบอกว่า ทางเฟดได้พิจารณาทั้งแนวคิดที่ดีที่สุดและพยานหลักฐานก่อนการไตร่ตรองนโยบายขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว และก็ได้ทำในนามของประชาชนอเมริกันแล้ว ( ? )

... นี้เป็นอีกบทพิสูจน์ที่บอกให้รู้ว่าเฟดนั้นเจ้าของใหญ่คือนายธนาคารยักษ์ทั้งหลายในอเมริกา ที่แม้แต่สภาคองเกรส ประธานาธิบดี ก็ไม่สามารถสั่งการหรือบัญชาได้ ทั้งๆที่ไม่ใช่ สามแกนอำนาจหลัก อย่าง รัฐสภา รัฐบาลและศาล ตามหลักการของ “เลือกตั้งธิปไตย”

... เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น นักลงทุนก็ไม่กล้ากู้มาขยายธุรกิจ เงินไหลไปตลาดหุ้นก็น้อย นักลงทุนก็ไม่อยากลงทุน ราคาหุ้นก็จะตกลง( ที่สวนทางกับทรัมป์ที่ต้องการดึงเงินมาตลาดหุ้นโดยการลดภาษีให้บริษัทใหญ่ ) ,”อัตราดอกเบี้ยสูงเอื้อประโยชน์ให้ผู้ฝากกลุ่มหนึ่ง แต่นายธนาคารก็ได้เงินมากขึ้นในการปล่อยกู้ได้เงินดอกเบี้ยมากขึ้น รวมทั้งพวกโบร๊กเกอร์ บริษัทที่ให้สินเชื่อและพวกขายประกันเท่านั้น” และคนทั่วไปยังลำบาก และที่สำคัญ “อเมริกา” จะมีหนี้สินมากขึ้น เพราะจากดอกเบี้ยพันธบัตรที่ขายสร้างหนี้ไปทั่วโลก ที่ปีหนึ่งๆต้องจ่ายไม่ต่ำกว่าล้านล้านดอลล่าร์

... ตอนนี้ พวกอีลิทนายธนาคารกำลังได้เปรียบจากการที่เงินดอลล่าร์แข็งตัว และทำให้ค่าเงินทั่วโลกตกต่ำ ทั้ง รัสเซีย ตุรกี เวเนซุเอล่า และหลายชาติ “ทำให้ประเทศทั่วโลกโดยเฉพาะปรปักษ์ค่าเงินอ่อนลง” และหนี้ที่ต้องจ่ายเป็นดอลล่าร์เพิ่มมากขึ้นอีก เป็นการรัดคอประเทศต่างๆที่เป็นปรปักษ์ให้ตายไปอย่างช้าๆ

... การฆ่าประเทศศัตรูให้ตายจึงมากก่อนการช่วยเหลือตัวเองให้รอด คือนโยบายดั้งเดิมของประเทศนี้ ที่ตอนนี้เวเนซุเอล่า ใกล้จะสำเร็จผลในการทำลายของเขาแล้ว

.

... The Federal Reserve on Wednesday raised rates for the third time this year, reflecting a strong economy with low unemployment. Hours later, the president again broke with tradition by criticizing the central bank.
"I am not happy about that," he said at a press conference in New York. "I'd rather pay down debt or do other things, create more jobs, so I'm worried about the fact that they seem to like raising interest rates. We can do other things with the money."
The Fed is designed to be independent of political interference, and presidents generally avoid commenting on monetary policy.
But Trump told CNBC in July and Reuters in August that higher rates undermine America's competitive edge against other countries.

https://money.cnn.com/…/powell-trump-federal-res…/index.html


Cr.Jeerachart

——————————————                                                                            ———————————————

ติมตามข่าวสารการเงิน เศรษฐกิจรอบโลกได้ที่ คลิ๊ก
เข้ากลุ่มนักเทรดใน Facebook คลื๊ก นี้


 

0 Share