ขนาดเศรษฐกิจของประเทศที่เชื่อว่าน่าจะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก 10 ประเทศแรกในระยะ 11 ปีข้างหน้า หรือภายในปี ค.ศ. 2030 จัดทำโดยฝ่ายวิจัยของธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดพบว่ามีถึง 7 ประเทศในอันดับ Top 10 ดังกล่าว
ที่ปัจจุบันยังอยู่ในสถานะประเทศกำลังพัฒนาที่มีศักยภาพเศรษฐกิจขยายตัวสูง ทั้งในเอเชียและลาตินอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 ภายในระยะเวลาดังกล่าวแซงหน้าสหรัฐอเมริกา ซึ่งครองที่ 1 อยู่ในปัจจุบันนั้น ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นประเทศคู่พิพาททางการค้าของสหรัฐฯที่เพิ่งตกลงคลี่คลายปัญหากันได้ระดับหนึ่งเมื่อต้นสัปดาห์นี้เอง นั่นก็คือ จีน
รายงานคาดการณ์ของธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดครั้งนี้ เป็นการจัดอันดับขนาดเศรษฐกิจของประเทศ ที่วัดจากมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในระยะยาว โดยใช้ทฤษฎีความเสมอภาคของอำนาจซื้อ (Purchasing Power Parity : PPP) และตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเบื้องต้น (Nominal GDP) มาใช้เป็นฐานในการคำนวณและคาดการณ์ โดยรายงานระบุว่า ขนาดเศรษฐกิจของจีนจะขยายตัวและแซงหน้าสหรัฐฯขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของโลกได้ตั้งแต่ปี 2020 หรือพ.ศ. 2563 ซึ่งก็คือปีหน้า และหลังจากนั้นภายในปี 2030 (พ.ศ. 2573) ก็คาดว่า แม้แต่ "อินเดีย" ก็จะแซงหน้าสหรัฐอเมริกา ขึ้นมาเป็นอันดับ 2 รองจากจีน โดยสหรัฐฯคาดว่าจะตกไปเป็นอันดับ 3
เดวิด แมนน์ นักเศรษฐศาสตร์ หัวหน้าทีมผู้จัดทำรายงานฉบับนี้ อธิบายเพิ่มเติมว่า จากการคาดหมายตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาวของประเทศต่างๆ ในโลก ทำให้เห็นหลักการสำคัญประการหนึ่งที่ว่า สัดส่วนจีดีพีของประเทศหนึ่งๆ ที่มีต่อจีดีพีรวมของ
โลกนั้นจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับสัดส่วนประชากรของประเทศนั้นๆที่มีต่อตัวเลขประชากรรวมของโลก ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มที่ตัวเลขรายได้ประชากร (GDP per capita) ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกว่าประชากรในประเทศนั้นๆมีฐานะทางเศรษฐกิจอย่างไร เริ่มขยับเข้ามาใกล้เคียงกันมากขึ้นระหว่างประเทศอุตสาหกรรมพัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนาดาวรุ่งที่เศรษฐกิจกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว
เห็นได้ชัดว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนจะมีอัตราการขยายตัวที่ชะลอลง จากที่เคยร้อนแรงในระดับ 2 หลักเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว มาอยู่ที่ 6.5-6.7% ในช่วงเร็วๆ นี้ แต่หลังจากนั้นก็จะค่อยๆ ปรับสมดุลแล้วจะลดลงมาอยู่ที่เฉลี่ย 5% ในราวปี 2030 ซึ่งเป็นปกติของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ขึ้น ขณะที่อินเดีย คาดว่าจะยังคงขยายตัวอย่างร้อนแรงที่ประมาณ 7.8% ในระยะไม่กี่ปีข้างหน้านี้ (2020)
แนวโน้มที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ท่ามกลางพัฒนาการดังกล่าว ซึ่งระบุไว้ในรายงานคาดการณ์ครั้งนี้ ยังได้แก่แนวโน้มที่ว่าการที่หลายประเทศรวมทั้งสหรัฐ อเมริกาและสหภาพยุโรป (อียู) ได้เริ่มแตะเบรก และหยุดใช้มาตรการทางการเงินแบบผ่อนปรน (QE) จะเป็นตัวแปรที่ทำให้หลายๆ ประเทศจำเป็นต้องปรับตัวรับมือด้วยการเดินหน้าปฏิรูปเศรษฐกิจของตัวเองในมิติต่างๆและต้องเร่งเพิ่มประสิทธิผลในการผลิตทั้งในภาคอุตสาหกรรมและบริการ ประเทศกำลังพัฒนารายใดที่รามือ ไม่เร่งกระบวนการปฏิรูป จะไม่สามารถผลักดันตัวเองให้ขยายตัวไปได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
นอกจากนี้ ยังคาดการณ์แนวโน้มที่ว่าประชากรโลกในกลุ่ม "ชนชั้นกลาง" (the middle-class) หรือผู้มีรายได้ระดับกลาง จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นกลุ่มคน(ที่แยกตามรายได้) ที่มีสัดส่วนมากที่สุดในบรรดาประชากรโลกทั้งหมดภายในปี 2020 (พ.ศ. 2563) และการขยายตัวของกลุ่มชนชั้นกลางนี้ จะเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการขยายตัวของชุมชนเมืองและการกระจายช่องทางเข้าถึงในการศึกษาของประชากร คลื่นความก้าวหน้าในเรื่องดังกล่าวจะเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยชดเชยหรือผ่อนบรรเทาผลกระทบทางลบที่เกิดขึ้นจากปรากฏการณ์ "สังคมสูงวัย" หรือการขยายตัวของกลุ่มประชากรสูงวัยในหลายๆประเทศ รวมทั้งหัวจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกอย่างจีน
Source: ฐานเศรษฐกิจ