การประชุม กนง.งวดแรกของปี เดือน ก.พ. มีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% ต่อปี กนง.มองว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง แต่มีความเสี่ยงในบางจุดที่อาจสะสมความเปราะบางในระบบการเงินในระยะต่อไป จึงให้คงดอกเบี้ย

ถัดมาการประชุมงวดที่ 2 เดือน พ.ค. ก็ยังมี มติเอกฉันท์ให้คงดอกเบี้ย ช่วงเวลาดังกล่าวเศรษฐกิจไทยแม้มีแนวโน้มขยายตัว แต่ยังปัจจัยเสี่ยงเป็นผลกระทบจากความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจและการค้าของสหรัฐ มาตรการตอบโต้จากประเทศคู่ค้าของสหรัฐ รวมถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์

แม้ว่าการจ้างงานมีสัญญาณปรับตัวดี แต่การบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่วนหนึ่งเนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังไม่ส่งผลดีต่อรายได้ครัวเรือนและการจ้างงาน ประกอบกับหนี้ภาคครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้ต่ำ

ในเดือน มิ.ย. มีการประชุม กนง. ครั้งที่ 3 แม้มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ย แต่เสียงเริ่มแตก ด้วยมติ 5 ต่อ 1 สำหรับ 1 เสียง ต้องการให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เพราะมองว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวชัดเจนขึ้น

หากนโยบายผ่อนคลายนานเกินไปอาจจะทำให้ประชาชนและ ภาคธุรกิจประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควร จึงควรปรับดอกเบี้ยขึ้นเพื่อ ให้มีความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (Policy Space) ใน อนาคต และล่าสุดเมื่อกลางสัปดาห์ เดือน ก.ย. มีการประชุม กนง. และยังคงไม่ปรับอัตราดอกเบี้ย

แต่เสียงที่ออกมาเริ่มกระจายมากขึ้น โดย 5 เสียงให้คงดอกเบี้ย และ 2 เสียงให้ขึ้นดอกเบี้ย กรรมการ 2 เสียงเห็นควรให้ขึ้นดอกเบี้ย เพราะเศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่องชัดเจนเพียงพอ โดยภาวะการเงินที่ผ่อนคลายเป็นเวลานาน ส่งผลให้ประชาชนและภาคธุรกิจประเมินความเสี่ยงของภาวะการเงินในอนาคตต่ำกว่าที่ควร

แต่กรรมการส่วนใหญ่ยังต้องการให้คงดอกเบี้ยไว้ เพราะเห็นว่า นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายจะช่วยสนับสนุนการขยายตัวเศรษฐกิจและสอดคล้องกับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ

ในปีนี้ กนง.จะเหลือการประชุมอีก 2 ครั้ง และอาจจะไม่เห็นภาพคะแนนพลิกกลับ ที่อาจเป็นไปได้คือมติทำนอง 4 ต่อ 3 ให้คงดอกเบี้ยเอาไว้ก่อน

และคงจะเป็นปีหน้าโน้น...ค่อยว่ากันเรื่องขึ้นดอกเบี้ย โดยประเมินจากรูปแบบน้ำหนักคะแนนเสียง กนง. ที่มีการขยับกันเป็นขั้นป็นตอน

ส่วนจะแม่นไม่แม่น ก็รอดูเอาแล้วกัน

คอลัมน์ ณ มุมขวา โดย ณ กาฬ เลาหะวิไลย

Source: Posttoday

https://www.posttoday.com/columnist/nhakran/564996