poor mindset

ขอบคุณบทความจาก
The Money Coach

เมื่อวานมีหลังไมค์ถามมาว่า “ตั้งแต่เป็นโค้ชการเงินมา คนกลุ่มไหนที่โค้ชมองว่าแก้ปัญหาทางการเงินได้ยาก หรือไม่มีทางแก้ได้“

คุณผู้อ่านลองคิดเล่นๆดูสิครับว่า คนกลุ่มไหนแก้ปัญหาทางการเงินได้ยากที่สุด

โดยมุมมองส่วนตัวของผม ถ้าเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเงิน หรือจนเงิน แต่มุ่งมั่นตั้งใจที่เปลี่ยนแปลงเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น ผมไม่เคยกลัวเลยครับ เพราะไม่มีเงิน แต่มีความคิด มีความรู้ ชีวิตมันก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้

แต่ที่หนักและเหนื่อยทุกครั้งที่เจอ ก็คือ พวก “จนความคิด“

คนกลุ่มนี้บางครั้งไม่ได้จนเงิน แต่มีหลักคิดหรือวิธีคิดที่เป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จทางการเงิน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากความเชื่อ หรือสิ่งที่หล่อหลอมตัวเขามาตั้งแต่ในอดีต ยากที่จะปรับแก้ และส่งผลถึงการกระทำที่ทำให้ชีวิตของเขาไม่วิ่งไปข้างหน้า

ที่เป็นเช่นนี้ เพราะ “เงิน” กับ “ความคิด” เป็นสิ่งที่ผูกติดกันชนิดแยกไม่ออก เราคิดกับเงินอย่างไร เงินก็จะปฏิบัติกับชีวิตของเราอย่างนั้น

ใครที่ชอบพูดชอบบอกกับตัวเองว่า “เงินหายาก” คนกลุ่มนี้ก็จะยากทุกครั้งเมื่อต้องหาเงิน ทำให้ต้องมีชีวิตที่อัตคัดและขัดสนอยู่ตลอด

ตรงกันข้ามกับคนที่เชื่อว่า “เงินอยู่รอบตัวเราตลอดเวลา” คนกลุ่มนี้ก็จะเห็นโอกาสทำกินอยู่ตลอด เงินไหลเข้ามาไม่ขาด เพราะมองอะไรก็เห็นเป็นช่องทางได้ทั้งหมด

ก็อย่างที่เขาว่ากันไว้ “คนเราไม่มีทางประสบความสำเร็จเกินกรอบความคิดของตัวเอง“

ตลอดระยะเวลาหลายปี ที่เป็นโค้ชทางการเงินมา ผมพบคนจนความคิดอยู่ 4 กลุ่มใหญ่ๆ ด้วยกันคือ

1. เจ้าแห่งเหตุผล

คนกลุ่มนี้มักเป็นคนที่มีข้ออ้างดีดีที่จะไม่ทำอะไรเพื่อให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น เวลามีปัญหาก็จะชอบขอคำแนะนำจากคนอื่น แต่พอได้รับคำแนะนำ ก็มักมีทางออกสวยๆ ที่จะไม่ทำตามคำแนะนำนั้นๆอยู่เสมอ จนคนที่คอยให้คำปรึกษาเบื่อระอาไปในที่สุด

คนบางคนติดหนี้ตั้งมากมาย แต่ละเดือนเงินไม่พอใช้ พอใครแนะนำให้ลดรายจ่ายลง ก็อ้างว่าลดไม่ได้ ถ้าลดก็ไม่ต้องกินอะไรแล้ว เพราะชีวิตประหยัดสุดๆ ครั้นพอแนะนำให้หางานพิเศษทำเพื่อเพิ่มรายได้ ก็อ้างว่าทำงานทั้งวัน ก็เหนื่อยมากพอแล้ว หรือบางคนอ้างเฉยเลยว่า ต้องการมีเวลาให้ครอบครัว

เพื่อนบางคนของผมเป็นคนหาเงินเก่ง แต่ลงทุนทีไรก็ขาดทุน เพื่อนๆแนะนำให้อ่านหนังสือดีดี แนะนำให้ไปเข้าสัมมนา ก็อ้างว่าไม่มีเวลา สุดท้ายเจอก็ทีไรก็มานั่งบ่นเรื่องขาดทุนให้ฟังทุกที

สำหรับคนกลุ่มนี้ ปัญหาลึกๆ ของพวกเขาก็คือ ความสับสนระหว่างสิ่งที่เป็น “เหตุผล” กับ “ข้ออ้าง” ซึ่งสองคำนี้มีเส้นบางๆคั่นอยู่นิดเดียว ดังนั้นหากต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิตไปในทิศทางที่ดีขึ้น พวกเขาจะต้องเลิกอ้าง เลิกมีข้อแม้ แล้วลงมือทำเพื่อจัดการกับปัญหาอย่างจริงจัง

2. คนอื่นผิดเสมอ

พวกขี้แพ้ทางการเงินกลุ่มนี้มักมองว่า ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นกับชีวิตของพวกเขา มีสาเหตุมาจากคนอื่นทั้งสิ้น และพวกเขาเป็นเพียงคนดีที่ต้องมารับปัญหาแทนคนอื่น

ช่วงเปิดเทอมก่อน หลายคนบ่นกับผมว่าต้องกู้เงินมาเป็นค่าใช้จ่ายลูกที่เรียนหนังสืออยู่ (โทษลูก) เป็นเพราะลูก พ่อแม่ถึงยากจน หรืออย่างที่เราเคยได้ยินกันว่า มีลูกหนึ่งคนจนไปเจ็ดปี (ปัจจุบันคงจนนานกว่านั้น)

หรือบัณฑิตจบใหม่บางคน บ่นน้อยใจชีวิตตัวเอง ที่พ่อแม่ไม่มีเงินส่งเสีย ทำให้ตัวเองต้องเป็นหนี้ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้นทำงาน (อันนี้หนักเลย บาปกรรมมากเพราะกล่าวโทษบุพการี)

สิ่งที่ทำให้หลุมปัญหาทางการเงินของคนกลุ่มนี้ยิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ ก็คือ ในเมื่อปัญหาทั้งหมดมันเป็นความผิดของคนอื่น แล้วเราจะไปทำอะไรได้ ใครไม่มีลูกไม่รู้หรอก ใครไม่จนบ้างไม่รู้หรอก ว่ากันไปนั่น

สุดท้ายคนกลุ่มนี้จะกลายเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษ นั่นคือ สามารถนอนจมกองปัญหาได้ สมองจะเริ่มตาย และกลายเป็นคนไร้สมรรถภาพ แม้จะมีอวัยวะครบ 32 ก็ตาม

3. โชคไม่ดี

พวกนี้มีลักษณะคล้ายคนที่ชอบโทษคนอื่น แต่อาจจะหนักกว่า เพราะเมื่อไม่สามารถโทษใครได้ ก็โทษโชคชะตาฟ้าดินมันไปเลย ทีนี้เลยไปกันใหญ่ เพราะโทษฟ้าดินนี่แก้ยากมาก สุดท้ายหนีไม่พ้นการใช้ชีวิตอยู่กับความฝันลมๆแล้งๆ

ผมเคยได้คุยกับคนติดหวยหลายคน ถามเขาว่า เดือนๆนึงเสียเงินค่าหวยตั้งแยะ บางเดือนเล่นหนักเสียจนไม่พอกินไม่พอใช้จ่าย ทำไมไม่คิดเลิก คำตอบที่ได้คล้ายๆกัน นั่นคือ “เผื่อวันหนึ่งโชคจะเข้าข้างเราบ้าง“

“โชค” หน้าตาเป็นอย่างไร ไม่เคยมีใครเห็น แต่ผมว่าโชคคงไม่ช่วย คนที่นอนรอวาสนา และไม่ช่วยเหลือตัวเองเป็นแน่

4. น่าจะมีใครช่วยเราได้

กลุ่มนี้เป็นอีกกลุ่มที่มีอยู่ไม่น้อย เป็นพวกที่รู้และยอมรับว่าตัวเองมีปัญหา แต่ไม่คิดทำอะไรเอง คอยหันซ้ายหันขวามองหาความช่วยเหลืออยู่ตลอด

ครั้งหนึ่งผมไปบรรยายเรื่องวิธีการปลดหนี้ให้กับสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง หลังบรรยายเสร็จมีผู้เข้าสัมมนาบางคนขอเบอร์โทรศัพท์ไป ผมก็ให้ด้วยความยินดี เผื่อว่าจะมีคำถามข้อสงสัยจะได้พูดคุยกันได้

ที่ไหนได้ โทรมาแต่ละครั้ง ถามตลอดว่าจะมีเงินมาช่วยเหลือพวกเขาบ้างไหม เพราะถูกติดตามทวงถามจะแย่อยู่แล้ว ให้คำแนะนำไปก็บอกว่าไม่เอา พูดเป็นอย่างเดียวว่า พอจะหาใครมาช่วยพวกเขาบ้างได้ไหม

คุยไปคุยมา ไม่รู้ว่าเป็นปัญหาของใครกันแน่

ถึงตรงนี้คุณผู้อ่านคงอยากรู้ว่า คนจนความคิดกลุ่มไหนที่น่ากลัวและอันตรายต่อชีวิตมากที่สุด

คำตอบ ก็คือ ทุกประเภทครับ

เพราะคนที่จนความคิดนั้น ไม่ว่าจะเป็นลักษณะแบบใด ก็ไม่ดีทั้งส้ิน ที่แย่กว่านั้นคือ หากได้ลองติดเชื้อตัวใดตัวหนึ่งเข้าไปในความคิดแล้ว ก็จะพาลเอาเชื้อความคิดจนๆ ตัวอื่นเพิ่มเข้าไปอีก

จนเงินแก้ไขได้ แต่จนความคิด ถ้าไม่เปลี่ยนความคิดให้ได้ก่อน ยังไงก็ต้องจนไปตลอดชีวิตครับ

0 Share