ดัชนีหุ้นไทยปิดปี 2561 เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. ที่ระดับ 1,563.88 จุด เพิ่มขึ้น 15.51 จุด หรือ 1% มูลค่าซื้อขาย 38,223.65 ล้านบาท ต่างชาติหวนซื้อวันสุดท้าย 2,525.97 ล้านบาท สถาบันซื้อ 2,294.94 ล้านบาท พอร์ต บล. ขาย 3,106.50 ล้านบาท รายย่อยขาย 1,714.41 ล้านบาท

ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบดัชนีหุ้นไทยปีนี้กับปีที่ผ่านมาจะพบว่าปรับตัวลดลง 10.82% หรือ 189.83 จุด โดยปีที่ผ่านมาที่ดัชนีปิดที่ 1,753.71 จุด ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ลดลง 1.61 ล้านล้านบาท จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 17.58 ล้านล้านบาท ลงมาอยู่ที่ 15.97 ล้านล้านบาท

อย่างไรก็ตาม หุ้นไทยลดลงได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบต่างประเทศ ทั้งการขึ้นดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่กดดันให้ตลาดหุ้นปรับฐานลงและทำให้เงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย โดยในปี 2561 ต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยรวมกว่า 2.8 แสนล้านบาท

นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริหารการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยวันสุดท้ายของปีปรับตัวในทิศทางตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค รับปัจจัยหนุนเชิงจิตวิทยาหลังจากตลาดหุ้นทั่วโลกได้ปรับฐาน ทำให้มีมูลค่าที่ถูกลง ส่งผลให้มีกระแสเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นในภูมิภาคจำนวนมาก โดยเฉพาะตลาดหุ้นเกาหลีใต้และตลาดหุ้นไต้หวัน

ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นไทยยังได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อของกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) และการทำราคาปิดงวดบัญชี ทำให้หนุนการปรับตัวขึ้นของดัชนีได้ แม้ว่าจะไม่มีปัจจัยหนุนใหม่ที่ส่งผลต่อการปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่ดัชนีตลาดหุ้นผันผวนค่อนข้างมาก เดือน ม.ค. 2561 ดัชนีตลาดหุ้นทำสถิติสูงสุด (ออลไทม์ไฮ) นับตั้งแต่ที่มีการซื้อขายในปี 2518 โดยในวันที่ 24 ม.ค. 2561 ดัชนีปิดตลาดที่ระดับ 1,838.96 จุด และปิดตลาดในเวลาทำการสุดท้ายต่ำกว่าระดับ 1,600 จุด สวนทางกับการคาดการณ์เป้าดัชนีปีนี้ที่มีนักวิเคราะห์ประเมินว่าดัชนีอาจจะปรับขึ้นไปถึงระดับ 1,900-2,000 จุด

"บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง มองเป้าหมายดัชนีปี 2562 ที่ 1,743 จุด สะท้อนความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัวไปบางส่วนแต่ยังไม่หมด มีมุมมองเป็นกลางต่อการเลือกตั้งไทยจะหนุนให้เงินไหลเข้ามาได้ในช่วงครึ่งหลังของปี" นายวิจิตร ระบุ

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า หุ้นทั่วโลกลดลงและหุ้นไทยปิดปีนี้ลดลงกว่า 10% เพราะได้รับปัจจัยกดดันคือ 1.สงครามการค้า 2.การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ สืบเนื่องจากแนวนโยบายของเฟด 3.การปรับตัวลงของราคาน้ำมัน แต่ทั้ง 3 ปัจจัยนี้จะคลี่คลายและหนุนให้หุ้นในปี 2562 ดูดีขึ้น

ด้านสมาคมตราสารหนี้ไทย เปิดเผยข้อมูลว่า ตลอดทั้งปี 2561 นักลงทุนต่างชาติได้เข้ามาถือครองพันธบัตรรัฐบาล มีมูลค่าสุทธิ 9.6 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่ยังเลือกถือครองพันธบัตรอายุ 10 ปีขึ้นไป

Source: Posttoday

0 Share